สมัยเป็นพระหนุ่มเที่ยววิเวกกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
เรื่อง...อาจารย์ชอบ อาจารย์ช้าง
เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๑๐
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านกลาง ตำบลปลาบ่า อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย
สถานที่แห่งนี้ต่อมาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ได้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นมา แต่ปัจจุบันสำนักสงฆ์แห่งนี้ไม่มีแล้ว
เนื่องจากไม่มีพระเณรอาศัยอยู่จึงกลายเป็นสำนักสงฆ์ร้างไปในที่สุด
ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)
ก็ไม่เคยเรียนถามองค์ท่านหลวงปู่ชอบถึงเรื่องการร้างของสำนักสงฆ์บ้านกลาง
และก็ไม่เคยเรียนถามท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ถึงเรื่องนี้ด้วย
เคยเรียนถามเรื่องสำนักสงฆ์บ้านกลางกับท่านพระอาจารย์สมศรี อัตตสิริเพราะท่านพระอาจารย์สมศรีเคยมาพักภาวนาที่วัดแห่งนี้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบมาก่อน พระอาจารย์สมศรีท่านพูดถึงสถานที่แห่งนี้ว่า ภูมิเจ้าที่ที่นี่ดุ พระเณรองค์ไหนที่ศีลมัวหมองมักจะได้เจอดีกับเจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นประจำ สมัยก่อนองค์ท่านหลวงปู่ชอบมักจะพาลูกศิษย์ไปฝึกฝนให้หายจากโรคกลัวผีอยู่ที่นี่
องค์ท่านหลวงปู่ชอบพาท่านอาจารย์จันทร์เรียนและสามเณรอีกรูปหนึ่งไปเที่ยววิเวกที่เขตภูเรือ จึงได้มาพักภาวนาอยู่ที่สำนักสงฆ์บ้านกลาง หลวงปู่ชอบท่านพาพระอาจารย์จันทร์เรียนพักอยู่ที่นี่หลายวัน
จนอาจารย์จันทร์เรียนท่านคุ้นชินกับสถานที่ อาจารย์จันทร์เรียนท่านจึงเล่นๆ หัวๆ ตามประสาพระหนุ่ม
แต่เหตุการณ์ที่ท่านอาจารย์จันทร์เรียนเจอเข้ากับตัวท่านเองนี้
ไม่เกี่ยวกับเรื่องผีเจ้าที่เจ้าทาง เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับช้างป่าภูหลวง
ท่านอาจารย์จันทร์เรียนเล่าให้ฟังว่า
มีวันหนึ่งท่านทำข้อวัตรสรงน้ำให้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
หลังจากทำอาจาริยาวัตรกิจสรงน้ำให้กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบแล้ว
หลวงปู่ชอบบอกท่านว่าอย่าพากันมัวเล่นมัวหัวมากนัก
ให้พากันรีบสรงน้ำแล้วไปเดินจงกรมภาวนาเสีย
ค่ำมืดมาหูตาจะพร่ามัวมองไม่เห็นทาง พวกสัตว์ป่ามันจะออกมาหากินในเวลาค่ำคืน
เมื่อเห็นกันแล้วสัตว์จะกลัวคน คนจะกลัวสัตว์
พอหลวงปู่ชอบท่านบอกแล้วองค์ท่านก็เดินกลับที่พัก
วันนั้นท่านอาจารย์จันทร์เรียนบอกเรานึกยังไงก็ไม่รู้
เราอยากจะคุยมากเป็นพิเศษ เราจึงชวนเณรมานั่งคุยกัน
ท่านคุยกันกับเณรอย่างสนุกสนานจนลืมเวลานาที ท่านนั่งคุยกันกับเณรจนค่ำโพล้เพล้เย้ตา
มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อตนเองได้ยินเสียงไม้ไผ่หักดังโพล๊ะเพละๆ
เสียงไม้ไผ่หักเพราะช้างป่าจากภูหลวงมันพากันลงมาหากินใบไผ่ในสำนักสงฆ์บ้านกลาง
อาจารย์จันทร์เรียนท่านได้ยินเสียงดังแบบนี้
ท่านจึงบอกเณรให้รีบกลับที่พักของใครของมัน
ท่านกลับไปยังนั่งร้านที่พักของตนเองเอามุ้งกลดลงเพื่อจะนั่งซุ่มดูช้างอยู่ภายในมุ้งกลดของท่าน
ท่านเห็นช้างป่าโขลงหนึ่งประมาณหกเจ็ดตัวพากันหักกินใบไผ่
และบังเอิญซ่ะเหลือเกินที่ช้างโขลงนี้มันดันพากันเดินผ่านมาทางนั่งร้านที่ท่านพักอยู่ อาจารย์จันทร์เรียนท่านเล่าไปหัวเราะไป ท่านบอกเรากลัวช้างเป็นทุนอยู่แล้ว นึกในใจของตัวเองว่า ช้างเอ้ย...มึงอย่าผ่านมาทางนี้เด้อ มึงจะพากันไปทางไหนก็ไปซ่ะ อย่าผ่านมาทางนี้เด้อกูย้าน
ช้างป่ามันไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างนี้ มีช้างป่าใหญ่เชือกหนึ่ง
ท่านเข้าใจว่าน่าจะเป็นช้างป่าจ่าโขลง
ช้างป่าจ่าโขลงเชือกนี้มันคงสงสัยมุ้งกลดของท่านว่าคืออะไรกันแน่
ช้างป่าจ่าโขลงเชือกนี้เดินตรงที่ลี่เข้ามายังที่พักของท่านอาจารย์จันทร์เรียน
นั่งร้านไม้ไผ่ที่พักของท่านมันก็เป็นนั่งร้านแบบโล่งโจงโปงไม่มีหลังคาบังฟ้าบังฝน
ที่พักของท่านไม่ต่างอะไรกับแคร่ไม้ธรรมดานี่เอง
อาจารย์จันทร์เรียนท่านเห็นช้างเดินเข้ามาใกล้ที่พักของท่าน
ท่านบอกว่าตอนนั้นหัวใจของท่านเต้นรัวตุ่มๆ ต่อมๆ
ท่านบอกเรากลัวช้างมากแต่เราก็ไม่ยอมวิ่งหนีมัน
ท่านนั่งดูช้างอยู่ภายในกลด เห็นช้างยื่นงวงเข้ามาดมมุ้งกลดของท่าน
ถึงตอนนี้อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอก
ท่านกลัวช้างจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นลงไปในขณะนั้น
หลังจากช้างมันดมมุ้งกลดแล้วมันคงจะได้กลิ่นของคน
ช้างตัวนี้จึงยื่นงวงเข้ามาดมสิ่งที่อยู่ภายในกลดเพื่อให้หายสงสัย
ตอนช้างยื่นงวงเข้ามาดมกลดแบบแนบชิดติดเนื้อนี้
งวงของช้างเชือกนี้มาแตะถูกหน้าของท่านอาจารย์จันทร์เรียนพอดี
อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอกเท่านั้นแหละกล้วยเอ้ย...
เราร้องพุทโธดังๆ เพียงครั้งเดียวในใจ จิตเราก็รวมพรึ่บเข้าสู่อัปปนาสมาธิทันที
จิตสว่างจ้าขึ้นมาในเสี้ยวเวลานาทีนั้น ช้างก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน
กลัวก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ภูเขาเลากาทิวาราตรีก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด
มีแต่ความสว่างไสวภายในจิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จนถึงรุ่งสางของวันใหม่
รุ่งเช้าวันใหม่จิตท่านก็ถอนออกมาจากสมาธิ
ท่านลืมตาขึ้นมามองดูว่าช้างมันยังอยู่หรือไม่ ก็ไม่เห็นมีช้างเหลืออยู่ซักตัว
ท่านก็ไม่รู้ว่าช้างโขลงนี้มันหายไปตั้งแต่เมื่อไร ท่านนั่งทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ขณะที่อาจารย์จันทร์เรียนท่านนั่งทบทวนขบวนความอยู่นั้น
องค์ท่านหลวงปู่ชอบเดินมายังที่พักของท่าน
องค์ท่านหลวงปู่ชอบพูดกับท่านอาจารย์จันทร์เรียนว่าท่านเรียนนั่งทำอะไรอยู่
รีบล้างหน้าล้างตาเอาบาตรเราลงมาศาลาได้แล้ว
นี่ใกล้จะได้เวลาออกไปบิณฑบาตแล้วรู้ตัวไหม...
อาจารย์จันทร์เรียนท่านรีบลุกขึ้นเก็บมุ้งกลด
ขณะที่ท่านกำลังเก็บมุ้งกลดอยู่นั้นองค์ท่านหลวงปู่ชอบพูดให้ท่านว่า
“มันเป็นอย่างนี้แหละคนเรา เวลาครูบาอาจารย์บอกสอนให้เดินจงกรมภาวนามันกลับไม่ทำ เอาแต่พูดคุยสนุกสนานตามประสาลมๆ แล้งๆ กันไปทั่ว พออาจารย์ช้างมาบอกมาสอนเท่านั้นแหละ ภาวนาจิตรวมดีจังเน๊าะ ต่อไปก็ให้ท่านเอาช้างเป็นอาจารย์เด้อ
อาจารย์ชอบนี่สอนลูกศิษย์ให้ภาวนาบ่เก่งเท่ากับอาจารย์ช้าง
เรานี่อยากให้อาจารย์ช้างอาจารย์เสือมาหาพวกท่านทุกวัน
มันถึงจะได้ตั้งใจภาวนากัน อาจารย์ชอบนี่จะไม่ได้เมื่อยในการอบรมสั่งสอนลูกศิษย์”
หลวงปู่ชอบท่านพูดจบแล้วก็ยิ้มเดินไปรอท่านอาจารย์จันทร์เรียนที่ศาลาหอฉัน ระหว่างบิณฑบาตหลวงปู่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรให้ท่านอีก
หลวงปู่ชอบท่านเฉยไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
อาจารย์จันทร์เรียนท่านบอกเราเข็ดเขี้ยวไม่อยากเจอกับอาจารย์ช้างอีก พอสรงน้ำหลวงปู่ชอบเสร็จเมื่อไร ท่านก็จะรีบสรงน้ำตนเองทันที
และรีบเข้าที่เข้าทางเดินจงกรมภาวนาของท่าน
โดยที่หลวงปู่ชอบท่านไม่ต้องมาบอกซ้ำย้ำเตือน...
ผู้เขียนเรียนถามท่านพระอาจารย์จันทร์เรียนว่า
ท่านอาจารย์ดูออกจะอาจหาญชาญชัยกว่าพระเณรทุกองค์
ในบรรดาลูกศิษย์ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ท่านอาจารย์ยังกลัวช้างอยู่หรือ
พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านตอบว่า อ้าว...สิบ่ให้เฮาย่านมันจั่งใด๋
(อ้าว...จะไม่ให้เรากลัวมันได้ยังไง) ก็ช้างมันตัวใหญ่กว่าเรานี่
ลองไปหือกับมันเบิ่งตี้ มันสิได้เหยียบเอาขี้แตกตาย
ว่าจบอาจารย์จันทร์เรียนท่านก็หัวเราะห้าๆ ออกมา
เราเองก็อดที่จะขำไปกับท่านไม่ได้
ฟังครูบาอาจารย์รุ่นพี่ท่านเล่าประสบการณ์สมัยที่ท่านยังปฏิบัติอยู่กับ
องค์ท่านหลวงปู่ชอบแล้วเพลินดี ได้ทั้งความสนุกสนาน
ได้ทั้งข้อคิดหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น