วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

ตอน ข่าตองเหลือง



หลังจาก พระคุณเจ้าหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านพาลูกศิษย์พักภาวนาอยู่บนภูเขาควายได้ระยะหนึ่ง องค์ท่านจึงพาลูกศิษย์ลงจากภูเขาควายเพื่อออกเที่ยววิเวกไปตามสถานที่ต่างๆรอบภูเขาควาย หลวงปู่เสาร์พาลูกศิษย์มาพักภาวนาที่ภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ในเขตแนวเทือกเขาเดียวกับภูเขาควาย ที่ภูเขาลูกนี้เป็นที่อาศัยของชนกลุ่มหนึ่งที่มีวิถีการดำเนินชีวิตที่ลึกลับอยู่ในประเทศลาว คนชาวลาวเรียกชนกลุ่มนี้ว่า ผีข่าตองเหลือง ผีข่าตองเหลืองที่อาศัยอยู่ในประเทศลาวหลวงปู่ชอบท่านว่าคือพวกเดียวกันกับผีตองเหลือง ในประเทศไทยที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในเขตจังหวัดน่าน..

ข่าตองเหลืองทางเมืองลาวหรือผีตองเหลืองทางเมืองไทยที่หลวงปู่ชอบท่านได้พบเห็นท่านว่าพวกนี้ในสมัยก่อนนั้นเขาจะไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแน่นอน เขาจะอาศัยอยู่ตามป่าใหญ่ไพรหนาเป็นหลัก ไม่นุ่งห่มเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆเหมือนกับชาวบ้านชาวเมือง เขาจะเอาใบไม้มาร้อยเข้ากับเถาวัลย์เพื่อนำมาปกปิดอวัยวะส่วนล่างเท่านั้น ที่พักอาศัยเขาก็จะเอาใบไม้มามุงมาบังเป็นหลังคาพอกันแดดกันฝนและน้ำค้างน้ำหมอกเท่านั้น เมื่อใบที่เขาใช้ไม้มุงหลังคาเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อไรแล้ว พวกเขาก็จะพากันทิ้งที่อยู่อาศัยนั้นหนีไปอาศัยยังสถานที่แห่งอื่น และจะหมุนเวียนเปลี่ยนสถานที่กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้..

ชนเผ่ากลุ่มนี้เขาจะมีภาษาพูดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะพวกเขาเอง ภาษาที่เขาพูดนั้นหลวงปู่ชอบท่านบอกท่านฟังไม่รู้เรื่องเลยซักคำ พวกนี้เขาจะไม่พูดภาษาอื่นนอกจากภาษาพูดของพวกเขาเอง พวกข่าตองเหลืองหรือพวกผีตองเหลืองเขาจะนับถือผีสางป่าไม้ภูเขาและแม่น้ำ ชนเผ่ากลุ่มนี้จะหลบหลีกซ่อนตัวไม่คบหาสมาคมกับกลุ่มชนอื่น เมื่อเขาพบเห็นชนกลุ่มอื่นหรือคนชาวบ้านชาวเมืองพวกเขาจะกลัวกันมากต้องพากันวิ่งหลบหนีเข้าไปในป่าลึกทันที แต่ถ้าหนีไม่ทันหรือหลบไม่พ้นแล้วพวกเขาก็จะพากันหันมาต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองและลูกเมีย..

การไปการมาของพวกข่าตองเหลืองนั้น พวกนี้จะไปเร็วมาเร็วจึงดูเร้นลับสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยในวิถีชีวิตของพวกเขา คนเมืองส่วนมากมักจะไม่ค่อยเข้าใจในความเป็นจริงของชนกลุ่มนี้ จึงพากันเรียกชื่อนำหน้าของชนเผ่ากลุ่มนี้ว่าผี จึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อพวกชนกลุ่มนี้ว่าผีข่าตองเหลืองหรือผีตองเหลืองดั่งที่ทราบกันในปัจจุบันนี้..

ตอนคณะของหลวงปู่เสาร์ไปพบพวกข่าตองเหลืองนั้น พวกข่าตองเหลืองกำลังพากันขุดหามันป่าและรากไม้เพื่อนำมาเป็นอาหาร หลวงปู่เสาร์ท่านได้ยินเสียงคนกำลังคุยกันอยู่ เสียงพูดคุยกันนั้นอยู่ไม่ห่างจากจุดที่ท่านและคณะลูกศิษย์นั่งพักไม่มากเท่าไร หลวงปู่เสาร์ท่านเข้าใจว่าเป็นเสียงของชาวบ้านในท้องถิ่นที่เข้ามาหาของป่า ท่านจึงบอกหลวงปู่ชอบและหลวงปู่หล้าไปสอบถามเส้นทางจากพวกเขา..

หลวงปู่ชอบและหลวงปู่หล้าท่านจึงพากันเดินไปหาข่าตองเหลืองโดยที่ท่านทั้งสองไม่ทราบมาก่อน พอหลวงปู่ชอบและหลวงปู่หล้าท่านพบกับพวกข่าตองเหลืองแบบจังหน้าจะตา ท่านทั้งสองก็ตกใจ ที่ตกใจก็เพราะไม่ใครนุ่งเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆปกปิดร่างกายเลย ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายลูกเล็กเด็กแดงต่างพากันเปลือยกายแทบจะล่อนจ้อนเหมือนกันหมดทุกคน พวกข่าตองเหลืองเมื่อเห็นคนแปลกหน้าอย่างจังจะเข้าแบบนี้ พวกเขาพากันตกใจร้องเอะอะโวยวายขึ้นมาในทันทีทันใดแล้วพากันวิ่งหนีหายเข้าไปในป่าลึกโดยทิ้งเผือกทิ้งมันที่พวกเขาได้ขุดเอาไว้ให้หลวงปู่ชอบและหลวงปู่หล้าท่านได้ดูต่างหน้า..

ท่านทั้งสองยังไม่ทันที่จะได้สอบถ้อยถามความอะไรกับพวกเขาซักคำเลย พวกข่าตองเหลืองก็พากันวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึกเสียก่อน หลวงปู่ชอบและหลวงปู่หล้าจึงพากันงงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อท่านทั้งสองหายจากอาการงงงวยแล้ว หลวงปู่หล้าท่านจึงหัวเราะขึ้นมา หลวงปู่ชอบท่านก็พลอยที่จะอดขำไปกับหลวงปู่หล้าด้วยไม่ได้ท่านจึงหัวเราะตามหลวงปู่หล้า..

ที่ท่านทั้งสองหัวเราะเพราะตลกในเหตุการณ์ที่ท่านทั้งสองพบเจอในตอนนั้น แล้วสุดท้ายก็อดที่จะสงสารพวกเขาไม่ได้ สงสารเพราะพวกเขาพากันอยู่แต่ในป่าดิบดงเถื่อนจึงไม่รู้จักสมณะสงฆ์องค์สามเณร..

เมื่อท่านทั้งสองหายจากอาการขำขันแล้ว หลวงปู่คำหล้าท่านเป็นคนเมืองลาวท่านจึงรู้จักพวกข่าตองเหลืองดี ท่านบอกกับหลวงปู่ชอบว่าพวกที่วิ่งหนีพวกเราไปนี้คนชาวลาวเรียกคนกลุ่มนี้ว่าผีข่าตองเหลือง พวกนี้จะไม่ค่อยมีพิษภัยกับผู้ใดดอก พวกเขาจะกลัวคนเมืองคนแปลกหน้ามาก เขาถือว่าถ้าเห็นคนชาวเมืองให้พากันรีบหนีโดยเร็ว และหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะหนีได้ พวกเขากลัวคนเมืองจะมาทำร้ายพวกเขา การที่ได้พบเห็นคนเมืองนั้นเขาถือว่าเป็นการผิดผีอย่างร้ายแรงจะทำให้ผีป่าผีบรรพบุรุษโกรธเคืองเอาได้ ถ้าผีป่าผีบรรพบุรุษโกรธเคืองขึ้นมาแล้วพวกเขาก็จะมีอันเป็นไปต่างๆนาๆ นี่คือความเชื่อของพวกชนเผ่าข่าตองเหลือง..

หลวงปู่ชอบและหลวงปู่หล้าท่านจึงกลับมารายงานองค์ท่านหลวงปู่เสาร์ว่าเสียงที่ท่านอาจารย์ได้ยินนั้นไม่ใช่เสียงของชาวบ้านที่เขามาหาของป่าดอกขอรับ เสียงที่ท่านอาจารย์ได้ยินนั้นเป็นเสียงพูดคุยกันของพวกข่าตองที่เขากำลังหาของป่าอยู่แถวนี้ แต่ตอนนี้พวกขาพากันวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึกหมดแล้ว ไม่เหลือใครพอที่จะได้อาศัยถามไถ่เส้นทางเลยสักคน องค์ท่านหลวงปู่เสาร์ท่านฟังแล้วท่านก็ยิ้มเพื่อเป็นเชิงรับทราบเรื่องราว..

หลวงปู่เสาร์ท่านพูดว่า พวกนี้เขาน่าสงสาร ได้เกิดเป็นมนุษย์บนผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอรรถาธรรม แต่พวกเขากับมีวาสนาแค่นี้เท่านั้น ไม่ได้เป็นผู้มากล้นด้วยบุญบารมีที่จะรู้เห็นเป็นธรรมกับเขาได้ สรณะที่พวกเขาเคารพนับถือนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นสรณะที่จะทำให้ตนเองมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในอริยะสัจได้ไม่ มันเป็นสรณะของกิเลสจึงถูกกิเลสมันคอยหลอกหลอนให้เดินผิดทาง กิเลสมันก็หลอกให้ทำไปตามความดำมืดของมัน..

การกระทำกรรมใดๆก็ทำไปตามความมืดบอดของปัญญา เมื่อปัญญาตาในมันบอดแล้ว การกระทำใดๆก็จะเป็นไปในทางที่ผิดทำนองคลองธรรม เมื่อผิดจากหลักของความเป็นจริงแล้วมันก็จะส่งผลให้ตนเองนั้นตกต่ำตกไปสู่อบายภูมิได้ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมจริงๆหนอ พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ไม่มีผิดเลย..

องค์ท่านหลวงปู่เสาร์รำพึงธรรมให้แก่ลูกศิษย์ฟัง องค์ท่านมีใจเมตตาในกลุ่มคนพวกนี้ แต่องค์ท่านก็ยอมรับในกฎแห่งกรรมที่ได้จำแนกสัตว์โลกให้เป็นไปตามกรรมที่ตนเองได้ทำมาแต่ในอดีต พอลูกศิษย์ทุกท่านพักหายจากอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว หลวงปู่เสาร์ท่านก็พาลูกศิษย์เดินออกจากป่าก่อนที่ตะวันจะตกดินเสียก่อน หากทิ้งช่วงให้ตะวันตกดินแล้วการเดินทางก็จะยากลำบากมากยิ่งขึ้น ท่านหลวงปู่จึงพาลูกศิษย์เดินลงจากเขาก่อนที่ตะวันจะชิงพลบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น