วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

ธรรมะประวัติ " ช้างเผือกผาแด่น " หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต



ที่บ้านกระเหรี่ยงแม่เมืองหลวงอำเภอปาย หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านก็เคยไป ท่านบอกในบรรดาลูกศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์ชอบ เราเป็นลูกศิษย์องค์แรกที่เข้าไปที่นั่น..

เราไปบ้านกระเหรี่ยงแม่เมืองหลวงเมืองปายตอนนั้นมันมีบ้านอยู่ประมาณสิบกว่าหลังคาเรือน บ้านกระเหรี่ยงแม่เมืองหลวงอำเภอปายจังหวัดแม่ฮ่องสอนนี้ เป็นอีกที่แห่งหนึ่งที่หลวงปู่ชอบท่านเคยเหยียบเท้าก้าวเข้าไปอยู่ตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สองจะปะทุร้อน..

บ้านกระเหรี่ยงดอยมะโนราจังหวัดแม่ฮ่องสอนหลวงพ่อบุญฤทธิ์ว่าท่านก็เคยไปอยู่ ท่านว่าที่แห่งนี้ท่านอาจารย์เทสก์ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ) ท่านอาจารย์ชอบ ( หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ) ก็เคยไปอยู่พักภาวนา..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ว่าลงจากดอยบ้านกระเหรี่ยงมะโนราท่านก็เข้ามาอยู่บ้านใหม่ชานเมืองแม่ฮ่องสอน..
ท่านว่าที่นี่แต่ก่อนมันเป็นค่ายที่พักทหารญี่ปุ่นก่อนจะเข้าไปตีประเทศพม่าเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านว่าเรามาเป็นไข้ป่ามาลาเรียกำเริบหนักอยู่ที่บ้านใหม่จังหวัดแม่ฮ่องสอนจนตัวตายคืน ( ตายแล้วฟื้น ) ..
ท่านว่าไข้มาลาเรียของเราเป็นประเภทแบบหนาวสั่นเหมือนหัวใจถูกแช่เย็นไว้ในน้ำแข็ง เวลาพิษไข้ป้างไข้ป่ามาลาเรียนี้มันกำเริบเสิบสานขึ้นมาท่านจะมีอาการหนาวสั่นจากข้างในจนหัวใจเจ้าของจะขาดรอนชีวิต..
ท่านว่า ตอนนั้นเราฉันอะไรเข้าไปก็จะอ้วกแตกอ้วกแตนออกมาจนขี้เพี้ยน้ำถุงดีมันแตกเรื่ยคอขมไปหมด ยาอะไรที่มีฉันไปเท่าไหร่ก็เอาพิษไข้ป้างมันไม่อยู่ พอกายาธาตุยาโลกเอาไม่อยู่ท่านเลยวางธรรมรักษาด้วย ใจยากรรมฐาน หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านก็วางลงปลงตายตนเองปล่อยให้กายาธาตุทำหน้าที่ของมันไปในไตรลักษณ์ ..

หลวงพ่อบุญฤทธิ์ “ ให้มีสติกำกับจิตของตนเองไว้อย่างเดียว ให้จิตปล่อยวางในธาตุสี่ขันธ์ห้าของตนเองลงไป อย่าเอาใจนี้ไปถือในเวทนา ตัดสะพานอุปาทานออกไปให้หมด มีสติคุมใจให้เป็นจิต พอวางอุปาทานทุกอย่างไปได้หมดแล้ว จิตมันก็จะไม่ยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องกับอะไร ” ..

ท่านว่าพอจิตเราทิ้งร่างตนเองให้เป็นศพ พระบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต จิตเราออกมาดูความตายระหว่างกายกับจิต ขณะนั้นจิตเห็นธรรมอันเป็นไตรลักษณ์ ท่านว่า จิตเรารำพึงธรรมขึ้นมาภายใน “ ตายแล้วมันเป็นอย่างนี้นี่หนอ ” พอจิตขาดจากฉันทะยินดีในกายแล้ว ธรรมแท้ก็แสดงซากเหม็นเน่าเจ้าของขึ้นมาให้รู้ ..

ท่านบอก “ ผมไม่มีอาการสะดุ้งหวาดกลัวอะไรจากการตายของตนเองเลย จิตมันอาจหาญในบุญของตนเองเป็นอย่างมาก ” ..
ระหว่างจิตแยกกายจากธาตุสี่ หลวงพ่อบุญฤทธิ์ว่าท่านเห็นโยมเดินผ่านมาทางกายที่ท่านตายบุญฤทธิ์อยู่ จิตท่านมองเห็นเขา แต่เขามองไม่เห็นท่าน จิตท่านเลี่ยงหลบไปในหินก้อนหนึ่ง ปรากฏรูปาจิตของท่านหายเข้าเป็นในศิลาหินก้อนนั้นโดยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างศิลากับจิต..

หลวงพ่อบุญฤทธิ์ “ เราจึงเข้าใจในพวกกายทิพย์ภูตผีเทวดาว่า พวกนี้เขาจึงแทรกซึมซ่อนตนอยู่ในสิ่งหยาบเหล่านี้ได้ยังไง ” ..

ท่านรำพึงว่าเมื่อเราตายแล้วขอไปกราบลาครูบาอาจารย์ที่ตนเองเคยปฏิบัติกับท่านมาก่อน ท่านว่าตอนนั้นเราอยากไปกราบสรีระ ท่านพ่อลี ธัมมธโร ที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ท่านว่าเพียงระลึกรำพึงใจแค่นี้จิตเราก็ลอยลิ่วไปในนภาอากาศจากบ้านใหม่แม่ฮ่องสอนมาวัดอโศการามสมุทรปราการ เหมือนลัดนิ้วหมุนมือ ..

ขณะจิตลอยตนอยู่เหนืออากาศ หลวงพ่อบุญฤทธิ์ว่าท่านมองลงมาดูข้างล่างวัดอโศการาม ท่านว่าเรามองเห็นทุกอย่างอยู่ข้างล่างเหมือนกับเราอยู่บนเครื่องบินแล้วมองลงมาดูข้างล่าง ต่างแต่ตาจิตมันละเอียดกว่าตาเนื้อ ตาเนื้อไม่สามารถมองผ่านสิ่งมุงบัง แต่ตาจิตนั้นมันสามารถมองเห็นผ่านสิ่งที่หลังคาบังตาอยู่ ..

ท่านมองลงไปดูที่วิหารเห็นสรีระสังขาร ท่านพ่อลี ธัมมธโร พอเห็นเช่นนี้จิตท่านว่าไม่สมควรที่เราจะมาลอยตนอยู่เหนือสรีระสังขารพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านจึงน้อมจิตของตนเองลงไปในวิหารเพื่อกราบสักการะสรีระสังขารของท่านพ่อลี ธัมมธโร ..

หลังกราบสรีระสังขารท่านพ่อลีแล้วจิตท่านได้พิจารณาในบุญวาสนาตนว่าจะไปข้างหน้า หรือจะมาคืนหลัง ทางข้างหน้าท่านก็รู้ที่หมายในจิตตนว่าจะไปทางไหน ทางคืนหลังกายาธาตุของตนเองนั้นยังอบอุ่นในการสร้างบุญบารมี ขณะจิตท่านกำลังพิจารณาในเรื่องนี้นั้นอยู่บนอากาศ..

ท่านว่า “ ปรากฏเสียงท่านอาจารย์ชอบบอกให้เรากลับคืนธาตุขันธ์ปัจจุบันของตนเอง ” ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น