เที่ยววิเวกกับหลวงปู่เสาร์
พระคุณเจ้าหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พาหลวงปู่ชอบออกเที่ยววิเวกแถบลุ่มแม่น้ำโขงโดยมีพระเณรติดตามองค์ท่านไปเที่ยววิเวกในครั้งนั้นมีทั้งหมดสี่องค์ มีรายนามดังนี้ ๑. หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ๒. หลวงปู่คำหล้า ขันติธโร ๔. พระอ้าย ท่านเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี ๕. สามเณรหล้า เป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี
องค์ท่านหลวงปู่เสาร์พาลูกศิษย์เที่ยววิเวกในเขตมุกดาหารแล้ว จากนั้นท่านพาลูกศิษย์นั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงทางฝั่งมุกดาหารไปเที่ยววิเวกทาง เมืองสะหวันนะเขต หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม แขวงสุวรรณเขต ประเทศลาว หลวงปู่เสาร์และคณะไปพักภาวนาตามป่าเขาในเขตสะหวันนะเขตหลายสถานที่ จากนั้นท่านตั้งใจจะพาลูกศิษย์ไปเที่ยววิเวกทาง แขวงนครจำปาสัก ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน
เนื่องจากแนวภูเขาและป่าไม้หนาทึบหลวงปู่เสาร์ท่านจึงพาลูกศิษย์เดินหลงทาง ท่านพาคณะเดินหลงทางเข้าไปในเขตประเทศเวียดนาม หลวงปู่ชอบท่านเล่าติดตลกว่า ท่านอาจารย์เสาร์พาพวกเราเดินหลงทางเข้าไปถึงเมืองญวน จนได้พากันไปอังเกิม( กินข้าว )ที่ชายแดนเมืองญวน เจ้าหน้าที่ทหารเวียดนามเขาแจ้งให้ทางคณะของพวกท่านทราบว่า พวกท่านกำลังเดินรุกล้ำเข้ามาในเขตประเทศของพวกเขา เจ้าหน้าที่ทหารขอให้คณะของพวกเราเดินทางกลับไปยังประเทศลาว
ตอนนั้นเป็นเวลาสายมากแล้วท่านอาจารย์เสาร์และพระเณรทุกองค์ยังไม่ได้ฉันอาหาร ท่านอาจารย์เสาร์จึงขอบิณฑบาตกับทางเจ้าหน้าที่ทหารเวียดนาม ทหารเวียดนามจึงพากันนำเอาอาหารมาใส่บาตรให้คณะของท่านฉัน วันนั้นคณะของพวกเราจึงพากันอังเกิม( ฉันข้าว )อยู่เมืองเว้ หลังจากฉันข้าวแล้วท่านอาจารย์เสาร์จึงพาพวกเราเดินทางกลับเข้าลาว ..
องค์ท่านหลวงปู่เสาร์พาหลวงปู่ชอบและคณะ เดินทางจากสะหวันนะเขตเพื่อไปเที่ยววิเวกทางเมืองเวียงจันทน์ โดยอาศัยนั่งเรือไฟขนสินค้าสลับกับการเดินเท้า หลวงปู่เสาร์ท่านอยากพาลูกศิษย์ไปพักภาวนาที่ภูเขาควายซึ่งเป็นเทือกเขาที่กว้างใหญ่ กินอาณาเขตตั้งแต่ตอนกลางของประเทศลาวลากยาวไปจนถึงพรมแดนประเทศจีน
ภูเขาควายสมัยนั้นเป็นสถานที่เหมาะแก่การภาวนามากที่สุดอีกแห่งที่หลวงปู่ชอบท่านเคยไปพักภาวนา ที่ภูเขาควายอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และแนวเขาที่ทอดยาวสลับซับซ้อนไปมา ภูเขาควายในสมัยนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาพันธุ์ อาทิเช่น เสือ ช้าง เก้งกวาง เลียงผา หมี หมูป่า วัวกระทิง ควายป่า และสัตว์เล็กสัตว์น้อยชนิดอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน
ภูเขาควายนอกจากจะเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และสัตว์ป่านานาพันธุ์แล้วนั้น ภูเขาควายยังเป็นสถานที่ที่ลึกลับซับซ้อนของภพภูมิต่างๆทั้งภูมิเบื้องบนคือเทพเทวดา และภูมิเบื้องล่างคือผีเปรตผีป่า สิ่งเหล่านี้ที่ภูเขาควายในสมัยก่อนนั้นหลวงปู่ชอบท่านว่ามีหมดทุกอย่าง แต่มีสิ่งลึกลับอย่างหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชามากที่สุดของภูเขาควายในสมัยนั้นคือกองกอย
หลวงปู่เสาร์จะพาหลวงปู่ชอบและหมู่คณะขึ้นไปภาวนาที่ภูเขาควาย ชาวบ้านที่เขาอาศัยอยู่แถบเชิงภูเขาควายไม่อยากให้คณะของหลวงปู่เสาร์ขึ้นไปพักที่นั่น ชาวบ้านเขาบอกหลวงปู่เสาร์ว่าที่บนภูเขาควายมีอันตรายรอบด้าน ทั้งอันตรายจากสัตว์ใหญ่ไข้ป่า และภัยมืดสิ่งลึกลับ ที่สำคัญบนภูเขาควายมีกองกอยอาศัยอยู่ กลางคืนกองกอยมันจะออกมาหากินเกรงว่าคณะของท่าน(พระคุณเจ้า)จะได้รับอันตรายจากภัยมืดพวกนี้
แต่หลวงปู่เสาร์ท่านอยากจะพาลูกศิษย์ขึ้นไปพักภาวนาบนภูเขาควาย โดยท่านไม่สนใจว่าจะมีผีสางคางเหลืองหรืออะไรมารบกวน ท่านบอกกับชาวบ้านว่าอาตมาจะพาลูกศิษย์ขึ้นไปพักภาวนาที่บนเขา อาตมาไม่มีเจตนาที่จะไปรบกวนผู้ที่เขาอาศัยอยู่ในที่แห่งนั้น ท่านถามลูกศิษย์ว่าพวกท่านกลัวผีกลัวเสือไหม ถ้าใครกลัวก็ไม่ต้องขึ้นไปกับเรา ลูกศิษย์ทุกองค์ขอติดตามหลวงปู่เสาร์ขึ้นไปภาวนาที่ภูเขาควาย
หลวงปู่ชอบ “ คืนแรกที่เราพักอยู่ภูเขาควาย กลางคืนเราเดินจงกรมอยู่ได้ยินเสียงเหมือนสัตว์มันร้องทักกันเป็นทอดๆ เสียงเล็กๆเหมือนกับเสียงของเด็กน้อย ทีแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเข้าใจว่าเป็นเสียงสัตว์มันร้องทักทายกัน เราก็เดินจงกรมของเราต่อไปอีกราวชั่วโมงจากนั้นก็เข้ากลดไหว้พระสวดมนต์นั่งภาวนาต่อ เรานั่งภาวนาได้ซักระยะรู้สึกเหมือนมีอะไรมายืนมองเราอยู่นอกกลด ลืมตาขึ้นมาดูเห็นเป็นเงาตะคุ่มลักษณะคล้ายลิงหรือชะนีมายืนดูเราอยู่นอกกลด พอขยับตัวพวกมันก็พากันตกใจวิ่งหนีหายเข้าไปในป่าร้องเสียงกอยๆ เราก็คิดว่า นี่หรือที่เขาเรียกว่ากองกอย ”
“ พวกนี้มันวิ่งหนีหายเข้าไปในป่าคิดว่ามันคงไม่กล้ามาอีกล่ะ ที่ไหนได้ คล้อยหลังไม่นานพวกมันก็พากันกลับมาอีก เราจุดโคมขึ้นมาพอมันเห็นแสงไฟเท่านั้นแหละพากันแตกหนีไปยืนอยู่ห่างๆ เราถึงรู้ว่าพวกนี้มันกลัวไฟ ลักษณะพวกนี้จะตัวเล็กๆเหมือนกับลิงแต่ขนตามตัวมันจะยาวกว่าลิง สีขนออกน้ำตาลเข้ม มีนิ้วมือข้างละห้านิ้ว มีเล็บแหลมยาวทุกนิ้ว เขี้ยวมันยาวประมาณนิ้วชี้ของเรา ”
หลวงปู่ท่านมีนิสัยชอบพิสูจน์ทุกเรื่องที่ท่านสงสัย ท่านจึงออกจากกลดเพื่อที่จะดูให้แน่ชัดว่าพวกนี้เป็นตัวอะไรกันแน่ ท่านว่าความรู้สึกตอนนั้นท่านไม่กลัวพวกนี้เลย ท่านพูดกับพวกมันว่าหากจะมารับเอาส่วนบุญก็ให้ตั้งใจรับอย่าพากันส่งเสียงดัง จากนั้นท่านแผ่เมตตาให้พวกนี้ ปรากฏว่าขณะท่านแผ่เมตตาให้พวกนี้นั้น จิตของท่านเกิดตันตื้อขึ้นมาเฉยๆ ถ้าจิตเป็นเช่นนี้ขณะที่แผ่เมตตาท่านว่าผู้นั้นไม่มีวาสนาที่จะสงเคราะห์กันได้ หรือไม่บุคคลนั้นก็เป็นผู้ที่มีบาปกรรมมากจนแสงสว่างของธรรมส่องเข้าไปไม่ถึงจิตใจ พวกนี้เป็นประเภทภูมิอาภัพไม่มีใครสามารถโปรดได้
ท่านว่าพวกนี้มีลักษณะท่าทางเหมือนกับลิงมาก แตกต่างกันตรงที่การเคลื่อนไหวไปมา พวกลิงว่าเคลื่อนไหวไปมารวดเร็วแต่พวกนี้จะเร็วยิ่งกว่าลิงมาก เวลาไปมาจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ใครได้พบเห็น
ตอนที่หลวงปู่ชอบท่านยังเป็นเด็กอยู่นั้น คนเฒ่าคนแก่เคยเล่าเรื่องกองกอยให้ท่านฟัง เขาเล่าไปตามประสาของผู้ใหญ่เพื่อให้เด็กกลัว คนที่เล่าเรื่องกองกอยให้ฟังนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นตัวตนที่แท้จริงของกองกอยเลย เป็นเพียงแต่เป็นคำบอกเล่าที่สืบทอดกันต่อๆมาเท่านั้น แต่ท่านได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกมันแล้ว กองกอยที่เขาเล่าลือสืบทอดกันมาได้มาปรากฏตัวให้ท่านได้เห็นอยู่ที่ภูเขาควายแห่งนี้
ท้ายของเรื่องนี้หลวงปู่ชอบท่านพูดถึง กองกอย ในเมืองไทยว่า สมัยก่อนท่านเคยเห็นกองกอยที่ภูหลวง ภูกระดึง ภูเรือ ที่เขาใหญ่จังหวัดนครราชสีมา ที่ห้วยขาแข้งและที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ทุกๆที่ตามที่ท่านได้กล่าวมานี้ ทุกวันนี้ ( ๒๕๓๖ ) มันได้หายไปจนเกือบจะหมดแล้ว เท่าที่ท่านรู้มาพวกนี้ยังมีเหลืออยู่ที่ห้วยขาแข้งและภูเขาควายประเทศลาวเท่านั้น..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น