วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

ผ้าขาวสง่าผู้บรรลุอนาคามี


หลวงปู่ชอบ ฐานสโม องค์ท่านเล่าประวัติตาผ้าขาวถ้ำนายม ผู้บรรลุธรรม " พระอนาคมี "

หลวงปู่ชอบท่านเดินทางจากถ้ำน้ำบังไปที่ถ้ำนายม ตำบลถ้ำนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ 

ท่านใช้เวลาในการเดินทางเกือบครึ่งวัน เพราะสมัยนั้นเส้นทางระหว่างบ้านถ้ำน้ำบังกับบ้านถ้ำนายมไม่มีถนนหนทางให้เดินอย่างสะดวกสบายเหมือนกับในปัจจุบันนี้

ท่านอาศัยเดินตามทางล้อเกวียนกว่าจะมาถึงถ้ำนายมได้ ก็เป็นเวลาประมาณบ่ายสามโมง..

ตาผ้าขาวสง่าเห็นท่านเดินเข้ามาเขาออกมาต้อนรับท่าน  นิมนต์ท่านนั่งพักเพื่อฉันน้ำคลายความเหนื่อยเมื่อยล้า  ตาผ้าขาวสง่า 
กราบท่านเพื่อแสดงความเคารพด้วยไมตรีจิต เขาบอกกับท่านว่า
 ข้าน้อยต้มน้ำร้อนน้ำยาไว้รอท่านอาจารย์ตั้งแต่ตอนเที่ยงจนน้ำเดือดไปหลายเที่ยวแล้ว ข้าน้อยก็รอดูอยู่ว่าเมื่อไหร่ท่านอาจารย์จะเดินทางมาถึงซักที..

หลวงปู่ชอบท่านแปลกใจที่ตาผ้าขาว เขารู้ได้อย่างไรว่าท่านจะเดินทางมาถ้ำนายม ทั้งๆที่ท่านเองก็ไม่ได้บอกใครให้มาแจ้งเรื่องนี้กับตาผ้าขาว 

ท่านถามตาผ้าขาวว่า  โยมรู้ได้อย่างไรว่าอาตมาจะมาที่นี่ ตาผ้าขาวบอกกับท่านว่า ข้าน้อยรู้จากภูมิเทวดาที่ถ้ำน้ำบังเขามาบอกข้าน้อยว่าจะมีพระกรรมฐานท่านจะมาอยู่ปฏิบัติอยู่ที่นี่..

หลวงปู่ท่านว่า ตาผ้าขาวนายมท่านนี้เป็นผู้ที่มีความรู้ภายนอกภายในพิสดารมาก เขาจะรู้เรื่องราวภายนอกที่เป็นสิ่งลี้ลับ 

และเรื่องราวภายในที่เป็นความรู้ในธรรมละเอียดลึกซึ้งมาก จนท่านยอมรับในภูมิความรู้ของตาผ้าขาวสง่า นายมท่านนี้ 

ตาผ้าขาวบอกท่านว่านี่ก็จวนใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว ข้าน้อยขอนิมนต์ท่านอาจารย์ให้อยู่จำพรรษาด้วยกันที่นี่  ข้าน้อยขอปวารณาเป็นผู้ดูแลเรื่องอาหารการขบฉันของท่านอาจารย์เองทั้งหมด ขอท่านอาจารย์อย่าเป็นกังวลในเรื่องปัจจัยสี่ข้าน้อยจะเป็นผู้จัดการเอง..

หลวงปู่ท่านตั้งใจที่จะมาดูสถานที่ถ้ำนายมว่าเหมาะแก่การจำพรรษาหรือไม่ เบื้องต้นท่านจึงบอกกับตาผ้าขาวว่าอาตมาขอพิจารณาดูก่อน 
แล้วจะแจ้งให้ผ้าขาวรู้ดอกว่าอาตมาจะจำพรรษาอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่ 
อาตมาขอพักอยู่ที่นี่ซักระยะหนึ่งก่อน  ตาผ้าขาวจึงนิมนต์ให้ท่านไปพักอยู่ที่กระท่อมหน้าถ้ำซึ่งเป็นกระท่อมของเขาเอง  ส่วนตาผ้าขาวเขาเข้าไปพักอยู่ภายในถ้ำนายม..

หลังจากหลวงปู่ชอบท่านพักอยู่ที่ถ้ำนายมได้ประมาณสามสี่วัน 
ท่านเห็นว่าสถานที่แห่งนี้สงบเงียบเหมาะสมแก่การจำพรรษา 

ท่านจึงบอกกับตาผ้าขาวว่าจะอยู่จำพรรษาที่นี่ ตาผ้าขาวจึงเข้าไปที่หมู่บ้านเพื่อไปบอกลูกชายและลูกเขยของเขา ให้พากันมาทำที่พักให้กับท่าน ลูกชายและลูกเขยของตาผ้าขาวสง่า ทำที่พักให้ท่านอยู่ห่างจากปากถ้ำนายมประมาณร้อยเมตร และทำทางจงกรมไว้ให้ท่านสองเส้น เส้นหนึ่งทำไว้อยู่ข้างกุฏิที่พักของท่าน อีกเส้นหนึ่งทำไว้ที่ภายในถ้ำเวลาฝนตกท่านจะได้มีที่จงกรมเพื่อบังฟ้าบังฝน..

ท่านว่าถ้ำนายมเป็นถ้ำใหญ่และลึกมาก มีซอกซอยช่องหินเงื้อมถ้ำสลับซับซ้อนไปมาทถ้ำนายมเป็นถ้ำที่มีความอาถรรพ์ลี้ลับอีกถ้ำหนึ่งที่ท่านเคยได้ไปพักมา

 ภายในถ้ำมีถ้วยโถโอชามของโบราณและพระพุทธรูปอยู่ภายในถ้ำ 
ท่านถามตาผ้าขาวสง่าว่า  ของใช้ภายในถ้ำนี้เป็นของใคร เขาบอกท่านว่าเกิดมาก็เห็นของเหล่านี้มีอยู่ในถ้ำแล้ว  คนที่นี่เขาไม่กล้าที่จะเอาของภายในถ้ำไปเป็นสมบัติส่วนตัว เพราะเขากลัวสิ่งลี้ลับจะตามไปทวงเอาของคืน เขากลัวจะได้รับอันตรายจากอำนาจมืดที่มองไม่เห็น..

ที่ถ้ำนายมท่านว่าในแต่ละวันจะมีเทวดามาหาตาผ้าขาวสง่าอยู่มิได้ขาด  เทวดาบางกลุ่มเขาก็มาขอฟังธรรมกับตาผ้าขาว เทวดาบางกลุ่มก็มาอนุโมทนายินดีในการปฏิบัติของตาผ้าขาว  เพราะว่าตาผ้าขาวสง่าผู้นี้ท่านมีภูมิธรรมชั้นสูงเป็น “ พระอนาคามี ” เป็นผู้หลุดพ้นจากบ่วงกามคุณแล้ว.. 

ท่านเองในตอนนั้นก็นึกละอายตนเอง ท่านว่าท่านเป็นพระห่มผ้าเหลืองแท้ๆ แต่การปฏิบัติทางในของท่านตอนนั้นยังได้ครึ่งหนึ่งของตาผ้าขาวท่านนี้เลย ท่านจึงมีความมุมานะทำความเพียรอย่างหนักเพื่อหวังธรรมอันหลุดพ้น..

หลวงปู่ชอบ “ จะบ่ให้เรามีความมุมานะได้ยังไง ตาผ้าขาวเขาเป็นถึงพระอนาคามีแต่มาทำอาหารให้เราฉันเกือบจะทั้งพรรษา มันเกิดละอายใจตนเองกลัวจะเป็นบาปกรรม เราจึงเร่งทำความเพียรเอาแบบแข่นๆ ทำความเพียรอย่างหนักจนลืมวันลืมคืน ผลจากการที่ตนเองเร่งทำความเพียรอย่างหนักนั้น จิตของเราได้ตั้งมั่นต่อพระนิพพานเพียงอย่างเดียวในชาตินี้ จิตเป็นภูมิอริยะเบื้องต้น(พระโสดาบัน)ตอนจำพรรษาอยู่ถ้ำนายมนี่แหละ ”..

“ ตาผ้าขาวสง่าผู้นี้เขามีจริตคล้ายกันกับเรา  เป็นพวกจริตโลดโผนชอบออกรู้เหมือนกัน  บางครั้งเรายังต้องให้เขาอธิบายธรรมภาคปฏิบัติให้ฟัง  ขั้นตอนแต่ละขั้นนั้นผ่านมาอย่างไร 

ตาผ้าขาวเขาจะเล่าให้เราฟังหมดทั้งเรื่องภายนอกเรื่องภายใน ตาผ้าขาวคนนี้ภาวนาเก่งมากจนสามารถทำลายกามคุณในจิตใจของตนเองลงได้ในขณะที่ตนเองยังเป็นฆราวาสอยู่ 

เกิดมาเราก็พึ่งเห็นตาผ้าขาวนายมคนนี่แหละที่เป็นฆราวาส ภาวนาจนบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี ของพวกนี้มันบ่แม่นธรรมดา ของพวกนี้มันบ่แม่นเรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ ผู้เกิดมาเป็นยอดคนพ้นโลกแล้วเท่านั้นถึงจะทำได้ ".. 

" กามราคะนี้เป็นกิเลสที่หยาบหนาที่สุด และเป็นกิเลสตัวที่จะถอดถอนได้ยากที่สุด  ถ้านักปฏิบัติผู้ใดสามารถละกิเลสกามคุณออกไปจากจิตใจของตนได้แล้ว ธรรมธาตุแท้ก็จะปรากฏให้ได้เห็นอยู่ต่อหน้า คือจั่งว่าสิเอามือคว้าได้เลย ”

ตาผ้าขาวนายมท่านนี้มีชื่อว่า “ พ่อสง่า ” 

อายุหกสิบกว่าปี พ่อสง่าท่านเป็นคนบ้านนายม ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ 

พ่อสง่ามีลูกสาวลูกชายทั้งหมดสี่คน พอภรรยาตาย พ่อสง่าอยากจะบวชเพื่ออุทิศบุญให้กับภรรยาคู่ชีวิตของท่าน แต่ลูกๆทุกคนไม่อยากให้พ่อบวชเพราะเป็นห่วง เกรงว่าพ่อจะลำบากเนื่องจากพ่อสง่ามีอายุมากแล้ว..

เมื่อลูกไม่ให้บวชพ่อสง่าจึงประพฤติพรหมจรรย์ โดยการถือศีลแปดฝึกฝนอบรมสมาธิทุกวันอยู่ที่บ้าน พ่อสง่าจะอยู่ปฏิบัติสลับกันไปมาระหว่างบ้านกับวัด วันธรรมดาก็จะปฏิบัติอยู่ที่บ้านของตนเอง  วันพระก็จะไปปฏิบัติอยู่ที่วัดในหมู่บ้าน.. 

พ่อสง่าท่านเป็นผู้ที่มีวาสนารู้ธรรมได้เร็วมาก ท่านปฏิบัติภาวนาอยู่ที่บ้านจนบรรลุธรรมเบื้องต้นเป็นพระโสดาบัน จากนั้นท่านเกิดความเบื่อหน่ายในการใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว อยากออกไปปฏิบัติตามป่าเขาโดยเพียงลำพัง 

ท่านจึงบอกลูกหลานว่าจะไปอยู่ถือศีลภาวนาอยู่ที่ถ้ำนายม..

แรกๆเมื่อมาอยู่ที่ถ้ำนายมตาผ้าขาวสง่าท่านจะพักเพียงคืนสองคืนก็กลับมาที่บ้านครั้งหนึ่ง  ต่อมาพอเข้าพรรษาท่านก็ขอลูกหลานมาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำนายม  เบื้องต้นลููกหลานก็คัดค้านเพราะเป็นห่วงพ่อ 
อยากให้พ่อจำพรรษาอยู่ที่วัดในหมู่บ้าน แต่ท่านไม่อยากจำพรรษาที่วัดในหมู่บ้าน เพราะมีเหตุบางอย่างที่มันติดขัดกับธรรมอยู่ในใจของท่าน สุดท้ายลูกหลานก็ยอมให้พ่อไปถือศีลภาวนา จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำนายม.. 

ตาผ้าขาวสง่ามาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำนายมได้ไม่ถึงเดือน ลูกหลานก็พากันมาอ้อนวอนรบเร้าให้ท่านกลับไปอยู่ที่บ้านเพราะเป็นห่วงพ่อ 
ตาผ้าขาวท่านจึงขอกับลูกหลานว่าออกพรรษาพ่อถึงจะกลับบ้าน 
พ่อขอจำศีลภาวนาอยู่ที่นี่ให้พ้นพรรษาตามที่ได้ตั้งสัจจะวาจาไว้ ลูกหลานก็จนใจจำยอม ลูกหลานจะพากันมาเยี่ยมนำเสบียงมาส่งให้ท่านทุกสามสี่วันครั้งหนึ่ง..

พอออกพรรษาตาผ้าขาวสง่าท่านก็ไม่ยอมกลับบ้าน ลูกหลานพากันมาอ้อนวอนให้กลับบ้านอย่างไรท่านก็ไม่ยอมกลับ  เมื่อรบเร้าอ้อนวอนเท่าไหร่พ่อก็ไม่ยอมกลับบ้าน ลูกชายกับลูกเขยจึงพากันจับตาผ้าขาวมัดมือมัดเท้าแบกท่านกลับบ้าน.. 
หลวงปู่ชอบท่านเห็นเหตุการณ์นี้ องค์ท่านถึงกับสลดใจ 

ต่างคนต่างภูมิจึงไม่รู้ข้างในจิตใจกัน ที่ตาผ้าขาวท่านไม่อยากอยู่บ้าน
เพราะท่านไม่อยากให้ลูกหลานญาติพี่น้องของท่านเป็นกรรม ซึ่งบางครั้งเขาอาจเผลอสติประมาทพลาดพลั้งท่าน

ตามประสากิเลสของใจตนบงการ ตาผ้าขาวสง่าบอกท่านไว้ว่า ลูกหลานของข้าน้อยจะพากันมาเอาตัวข้าน้อยกลับบ้าน ถ้าวันใดลูกหลานมาคุมตัวข้าน้อยกลับบ้าน  อายุขัยของข้าน้อยก็จะสั้นลง 
ตาผ้าขาวกลับไปอยู่บ้านได้สองสามวัน  พอลูกหลานเผลอก็แอบหนีออกจากบ้านกลับมาที่ถ้ำนายม

เพื่อมากราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบเป็นครั้งสุดท้าย  ตาผ้าขาวสง่ามากราบลาและบอกกับองค์ท่านว่า 

ชาตินี้ข้าน้อยบ่มีวาสนาที่จะได้บวชเหมือนกับอาจารย์  ข้าน้อยบ่ได้สร้างบารมีทางนี้มา จากนี้ไปบ่นานดอกอายุขัยของข้าน้อยก็จะสิ้นแล้ว  ข้าน้อยจะตายด้วยโรคลมปัจจุบัน เป็นเหตุให้ตนเองตกบ้านถูกไม้ค้ำเกวียนเสียบตาย..

ตาผ้าขาวเล่าถึงอดีตกรรมของท่านให้หลวงปู่ชอบฟังว่า 
เหตุที่ชาตินี้ตนเองไม่ได้บวชเพราะอดีตชาติครั้งหนึ่งท่านเป็นผู้ที่มีมิจฉาทิฐิ ตำหนิพระสงฆ์องค์เณรว่าเป็นคนเกียจคร้านไม่อยากทำงานจึงหนีไปบวช 

ลูกชายของตนเองในชาตินั้นมีศรัทธาอยากจะออกบวช  ตนเองไม่อนุญาตห้ามลูกไว้ไม่ให้บวช  กรรมนี้จึงส่งผลมาในชาติปัจจุบันเป็นเหตุให้ตนเองถูกขัดขวางไม่ให้บวช..

อีกชาติหนึ่งของตาผ้าขาว ท่านเคยเกิดเป็นนาย เพชฌฆาต มีหน้าที่จับนักโทษประหารโยนลงเหว กรรมนี้จะเป็นเหตุให้ตนเองตกจากที่สูงตายในชาติปัจจุบัน ตาผ้าขาวบอกวันเวลาที่ตนเองจะตายให้องค์ท่านหลวงปู่ชอบฟังทั้งหมด 

ตาผ้าขาวมาพักอยู่กับท่านที่ถ้ำนายมหนึ่งคืน พอพ้นอีกวันลูกหลานก็พากันมาตามให้ตาผ้าขาวสง่ากลับบ้าน ตาผ้าขาวสง่ากราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบกลับบ้านพร้อมกับลูกหลาน นั่นคือครั้งสุดท้ายที่หลวงปู่ชอบท่านได้เห็นตาผ้าขาวสง่าตอนท่านมีชีวิต.. 

ตาผ้าขาวสง่าท่านกลับไปอยู่ที่บ้านได้ไม่นานนัก ท่านก็ตายตามวันเวลาที่ได้บอกกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบไว้ไม่มีผิด วันที่ท่านตาผ้าขาวสง่าตายนั้น ท่านเดินจงกรมอยู่ที่ระเบียงชานบ้านของตัวเอง เวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆท่านเป็นลมหน้ามืด พลัดตกจากบ้านถูกไม้ค้ำเกวียนเสียบอกตาย 

วันเวลาการตายตรงกับที่ท่านได้บอกกับหลวงปู่ชอบไว้ว่า ท่านจะตายตอนพระเณรฉันเพล..

หลวงปู่ชอบท่านบอกว่า 

ผู้ที่สำเร็จคุณธรรมเป็นพระอริยะบุคคลไม่ว่าชั้นใดก็ตาม ท่านจะอยู่ร่วมครองเรือนกับฆราวาสทั่วไปลำบาก การอยู่ครองเรือนย่อมจะมีกระทบกระทั่งกันทางอารมณ์ ผู้ที่มีภูมิธรรมท่านจะรู้จักละปลงปล่อยวางเป็น แต่ปุถุชนคนธรรมดาจะละวางไม่เป็น เมื่อมีเหตุกระทบกันจะทำให้เป็นบาปกรรมได้.. 

ด้วยวิสัยของท่านผู้มีภูมิธรรม ท่านจะพิจารณาถึงอนาคตข้างหน้าของตนเอง หากท่านมีวาสนาทางเนกขัมมะบารมีท่านก็จะออกบวชเพื่ออยู่โปรดสัตว์โลก หากท่านพิจารณาเห็นตนเองไม่มีวาสนาบารมีในทางนี้ ท่านก็จะพิจารณาปลงสังขารละขันธ์ไปในที่สุด.. 

ชีวประวัติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าโคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
เขียนบันทึกโดย..ครูบากล้วย ธีรภัทโท

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ทราบว่าปัจจุบันถ้ำนายม มีชื่อเป็นสำนักสงฆ์ หรือวัดว่าอะไรครับ ติดตามในyoutubeว่าหลายคอมเมนต์ว่าเป็นถ้ำน้ำบัง ใช่หรือไม่ครับ

    ตอบลบ