ธรรมะประวัติ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
เขียนบันทึกโดย..ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท
ที่วัดพุทธรัตนาราม เมืองเคลเลอร์ เท๊กซัส สหรัฐอเมริกา ๒๕๓๔
ตอน..คึดฮอดบุญฤทธิ์
โยมไพชยนต์ ขำหิรัญ พ่อน้องทัวร์-ทร์อย เอา “ เกี๊ยว ” ถวายภัตตาหารหลวงปู่ชอบท่านถาม “ อั่นท่านบุญฤทธิ์มักฉันนี่เขาเอิ้นอีหยัง ( ของที่ท่านบุญฤทธิ์ชอบฉันนี้เขาเรียกอะไร ) ”..
โยมไพชยนต์กราบเรียนหลวงปู่ชอบว่า “ เกี๊ยวครับหลวงปู่ เป็นอาหารของคนจีนคนญี่ปุ่น อยู่เมืองไทยเราก็มี อันนี้เขาส่งจากเมืองไทยมาขายอยู่เมกาครับ ” ..
หลวงปู่ชอบท่านบอก เราไม่รู้เขาเรียกชื่อว่าอะไร เคยแต่ฉันไม่เคยถามใครว่ามันชื่ออะไร “ บุญฤทธิ์ ( หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ) มักฉันอันนี่ เห็นอันนี่แล้วคึดฮอดบุญฤทธิ์ ( เห็นสิ่งนี้แล้วคิดถึงบุญฤทธิ์ ) ”
หลวงปู่ชอบท่านถามแบบยิ้มๆกับโยม “ ห่อไปฝากบุญฤทธิ์ได้บ่ บอกบุญฤทธิ์ว่าเฮาฝากมาให้ ” พวกโยมเขาก็พากันขำขันในคำพูดขององค์ท่าน..
เราว่าจะห่อไปฝากหลวงพ่อบุญฤทธิ์ได้ยังไงกว่าจะส่งถึงออสเตเลียมันจะไม่เน่าระหว่างทางก่อนหรือ
หลวงปู่ชอบว่า ถ่าจั่งซั่น (ถ้ายังงั้น ) โบ้ย.. (ผู้บันทึกครูบากล้วย) ก็ไปนิมนต์ท่านบุญฤทธิ์มาฉัน(เกี๊ยว)นำกันกับเราอยู่นี่ ( วัดพุทธรัตนาราม เมืองแคลเลอร์ รัฐแท๊กซัส )
เราว่าจะให้ข้าน้อยไปนิมนต์หลวงพ่อบุญฤทธิ์อยู่ออสเตเลียมาฉันเกี๊ยวด้วยกันอยู่ที่เท๊กซัสนี่นะ ครูบาอาจารย์ก็ว่าไปยังกับว่าออสเตเลียกับเท๊กซัสนี้มันอยู่ใกล้กันปานบ้านโคกมนกับเมืองเลยนี่
หลวงปู่ชอบหัวเราะ พวกโยมก็พากันหัวเราะไปกับองค์ท่านตามๆกัน ..
คนอื่นคิดแค่ขำขันเอามันสนุกในคำพูดขององค์ท่านไม่พิกัดจิตคิดสังเกตอะไรในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านแสดงออกมาในแต่ละเยื่องย่าง พากันสักแต่เห็น แต่สังเกตไม่เป็นว่าครูบาอาจารย์ท่านคิด ท่านกำลังสอนอะไรให้เรา
ครูบาอาจารย์ท่านสังเกตรู้ว่าลูกศิษย์องค์ไหนเป็นอย่างไร อย่างเรื่องอาหารเล็กๆน้อยๆแค่นี้ครูบาอาจารย์ท่านก็สังเกตดูว่าลูกศิษย์คนไหนชอบฉันอาหารแบบไหน อย่างเวลาเห็นเกี๊ยวนี้หลวงปู่ชอบท่านจึงนึกถึงหลวงพ่อบุญฤทธิ์ลูกศิษย์ท่านว่าชอบฉันของสิ่งนี้
เราผู้บันทึกคิดนึกไปตามประสาความเมตตาหลวงปู่ชอบนี้ท่านก็คงเหมือนกับผู้เป็นพ่อแม่ทั่วไปที่เวลาเห็นอะไรแซบนัวที่ลูกของตนเองชอบก็อยากจะเอาไปหย่อนใส่ปาก เอาไปฝากใส่มือให้กับลูกผู้นั้น ..
หลวงปู่ชอบเล่าถึงสมัยฝึกหลวงพ่อบุญฤทธิ์อยู่บ้านกระเหรี่ยงผาแด่นเชียงใหม่ ท่านว่าอยู่ที่นั่นสมัยก่อนอาหารการกินอะไรมันก็ไม่หวานปากตามความอยากของกิเลส อยู่ที่นั่นบิณฑบาตได้อะไรที่ชาวกระเหรี่ยงเขาใส่บาตรมาก็ฉันกันไปตามมีตามเกิดพอมีแรงเดินจงกรมภาวนาเท่านั้น..
ซึ่งมันต่างกันกับยุคพญาวานรนิวาสของเราผู้บันทึกที่เกิดมากินบุญครูบาอาจารย์ไปทางไหนก็มีแต่สัพพีตีโยกินแต่ของดีๆจนอ้วนพีเป็นหมูบักด่างง้างคอคอยเขียงอย่างที่พ่อแม่ครูอาจารย์ชอบท่านเคยว่าให้พวกเรา ..
อย่างหลวงพ่อบุญฤทธิ์เล่าให้เราฟังว่าตอนท่านอยู่ปฏิบัติที่บ้านกระเหรี่ยงผาแด่นเชียงใหม่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบนั้น หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านว่าอยู่ที่นั่นส่วนมากได้ฉันแต่ “ โฮ๊ะโนมังสา ” ทีแรกเราผู้บันทึกเข้าใจว่าโฮ๊ะโนมังสาที่หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านว่านี้มันคืออาหารประเสริฐเลิศเลอของชาวกระเหรี่ยงเอียงพม่า..
พอหลวงพ่อบุญฤทธิ์อธิบายขยายความให้ฟังเราถึงรู้ว่า “ โฮ๊ะโนมังสา ” ที่ท่านว่านี้ก็คือการเอาผักนางอางหญ้าตามป่าดอยที่กินได้มาแกงรวมกันโดยไม่มีเนื้อสัตว์ชนิดใดๆร่วมปะปนปรุงแต่งลงไปเลย นี่จึงเป็นที่มาของเมนูอาหารที่ว่า “ โฮ๊ะโนมังสา ” ของท่านหลวงพ่อบุญฤทธิ์ ..
ถามหลวงพ่อบุญฤทธิ์ตอนอยู่ผาแด่นหลวงปู่ชอบท่านพาฉันเจหรือถึงไม่กินเนื้อสัตว์กัน ..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านว่ามันจะไปจงไปเจอะไรกัน อยู่นั่นมันไม่ค่อยมีใครเอาเนื้อสัตว์มาถวายให้ฉันต่างหาก ท่านว่าคนเหรี่ยงบ้านผาแด่นสมัยก่อนเขาไม่ค่อยนิยมกินเนื้อสัตว์กันเท่าไหร่จะได้กินเนื้อเป็ดเนื้อไก่กับเขาซักทีก็รอเวลาให้ถึงหน้าเขาเลี้ยงผีป่าผีดอยก่อนพระเราถึงจะได้ฉันมังสังเนื้อตามพวกผี ..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านถูกพ่อแม่ครูบาอาจารย์ชอบขังลืมกิเลสเมืองกรุงอยู่บ้านกระเหรี่ยงผาแด่นเชียงใหม่นานหลายปีหลวงปู่ชอบท่านจึงอนุญาตให้หลวงพ่อบุญฤทธิ์เปลี่ยนบรรยากาศในการปฏิบัติลงมาอยู่บ้านบง ตำบลท่าศาลา อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านว่า “ เราฉันหมากค้อเขียวบ่ายข้าวเหนียวเป็นตอนมาอยู่บ้านบงภูเรือนี่แหละ ท่านอาจารย์ชอบให้เรามาอยู่เฝ้าวัดป่าบ้านบงสามปีสี่แล้ง สมัยนั้นอาจารย์ชอบท่านพาลูกศิษย์สร้างวัดปฏิบัติขึ้นที่ภูเรือ-วังสะพุงขึ้นมาพร้อมกันหลายวัด ” ..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์บอกหลวงปู่ชอบท่านเข้าไปอยู่บ้านบงครั้งแรกหลังจากท่านกลับมาจากเชียงใหม่ปี ๒๔๙๘ วัดป่าบ้านบงภูเรือจึงถือสร้างขึ้นมาในปีนี้ พอปี ๒๔๙๙ หลวงปู่ชอบท่านก็พาหลวงพ่อบัวคำ ( หลวงพ่อบัวคำ มหาวีโร วัดป่าสัมมานุสรณ์ ) ไปสร้างวัดป่าห้วยลาดภูเรือกับวัดป่าบ้านกกกอกวังสะพุง ( วัดป่าปริตบรรพต อ.วังสะพุง จ.เลย )..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ “ ตอนนั้นอาจารย์บุญมี ( หลวงพ่อบุญมี ปริปุณโณ วัดป่านาคูณ จ.อุดรธานี ) อาจารย์เพียร ( หลวงพ่อเพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง จ.อุดรธานี ) อาจารย์ลี ( หลวงพ่อลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง จ.อุดรธานี ) ตามท่านอาจารย์ชอบเข้าไปปฏิบัติอยู่ที่นั่น ” ..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์บอกที่บ้านบงสมัยนั้นที่ท่านอยู่ ( ๒๕๐๒ – ๒๕๐๕ ) ตามป่าเขาภูเสือช้างยังมีอยู่มาก บางคืนเสือมันจะลงจากภูคั่งภูหลวงมาหากินแถวชายป่าตีนบ้านบง ..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ว่าอาจารย์ชอบท่านเอาเราไปปล่อยไว้ที่นั่นองค์เดียว ท่านอาจารย์ชอบบอกเรา บุญฤทธิ์.! เสือช้างอยู่ที่นี่มันบ่ดื้อหลายดอก มื้อสันวันดีถ้ามันนึกใจดีก็จะเข้ามาเล่นในวัดพอให้เราได้เห็นแก้กลุ้ม..
ท่านอาจารย์ชอบถามเรา บุญฤทธิ์อยู่ที่นี่องค์เดียวได้บ่.!
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ “ เราว่า โอ้ย.! สบายมากท่านอาจารย์ เรื่องนี้ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงกระผมหรอกขอรับ อยู่ที่นี่มันไม่หนักเท่ากับผาแด่นหรอก ” ..
ตนเองถาม-อยู่บ้านบงพวกเสือช้างมันไม่มาฮื่อๆฮ่าๆใส่หลวงพ่อบ้างหรือ ..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ “ สัตว์พวกนี้มันไม่ได้กินผมหรอก เที่ยงผมก็ตีตาดทำข้อวัตร บ่ายสองก็สรงน้ำ บ่ายสามผมก็เข้ากุฏิลงกลอนสวดมนต์ภาวนาแล้ว เสือที่บ้านบงมันไม่เคยมายุ่งอะไรกับผมมาก มีบางตัวมันมาเดินรอบกุฏิพอได้กลิ่นสาปคนมันก็หนีไปแล้ว อย่างมากมันก็ขึ้นมานั่งอยู่ชานกุฏิหายเหนื่อยแล้วมันก็ไปทิ้งแต่รอยเท้าเอาไว้ให้เราดูต่างหน้าเท่านั้น ” ..
ถามท่านเสือที่บ้านบงนี้ตัวใหญ่ไหม หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านว่ามันก็รุ่นพ่อรุ่นแม่เสือนี้แหละ เวลามันยืนขึ้นขาหน้ามันจะเกาะชายคากุฏิของเราพอดี หลวงพ่อบุญฤทธิ์ขยุ้มมือของท่านให้ดูเพื่อเปรียบเทียบรอยเท้าเสือบ้านบงที่มันทิ้งไว้เอาไว้นอกชานกุฏิให้ท่านได้คิดถึง ..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น