วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประวัติปฎิปทาหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
     วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ  ฐานสโม  นามเดิมของท่านชื่อ  บ่อ  นามสกุล  แก้วสุวรรณ  ท่านเกิดเมื่อ  วันที่  ๑๒  กุมภาพันธ์  พุทธศักราช  ๒๔๔๔  ตรงกับวันพุธ  ขึ้น  ๕  ค่ำ  เดือน  ๓  ปีฉลู  ณ  บ้านโคกมน  ตำบลผาน้อย  อำเภอวังสะพุง  จังหวัดเลย  โยมบิดาชื่อ  นายไม  แก้วสุวรรณ  โยมมารดาชื่อ  นางปา  แก้วสุวรรณ  ท่านมีพี่น้องรวมกันทั้งหมด  ๔  คน  เป็นชาย  ๒  คน  เป็นหญิง  ๒  คน  มีชื่อเรียงตามลำดับดังนี้

๑. นายบ่อ  แก้วสุวรรณ  ( พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ  ฐานสโม ) 

๒. นางพา  แก้วสุวรรณ  ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ  ๓๙  ปี

๓. นางแดง  แก้วสุวรรณ  ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ  ๒๖  ปี 

๔. นายสิน  แก้วสุวรรณ  ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ  ๓๔  ปี 

อุปสมบท

หลวงปู่ชอบท่านได้บวชเป็นสามเณรอยู่นานถึง ๕ปี ในระหว่างที่เป็นสามเณรอยู่นั้นท่านได้ติดตามศึกษาธรรมไปกับพระอาจารย์พา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ชอบท่านเล่าว่า พระอาจารย์พา สามารถอ่านใจคนได้อย่างน่าอัศจรรย์  แต่พระอาจารย์พาก็ยืนยันว่า พระอาจารย์มั่นอาจารย์ของท่าน สามารถอ่านใจคน ดักใจคน รู้จิตคนได้ทุกเวลา ทุกโอกาส มากที่สุด เมื่อหลวงปู่ชอบได้ยินพระอาจารย์พากล่าวยกย่องหลวงปู่มั่นเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้เคารพศรัทธาในองค์หลวงปู่มั่นเป็นอย่างมาก และได้คอยติดตามฟังข่าวเกี่ยวกับหลวงปู่มั่นอยู่ตลอดเวลา เมื่อหลวงปู่ชอบ มีอายุครบ ๒๓ ปี ท่านได้เข้าอุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๗  ณ พระอุโบสถวัดศรีธรรมมาราม อ.เมือง  จ.ยโสธร โดยมีพระครูวิจิตรวิโสธนาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์

อาสาเป็นหน่วยกล้าตาย

หลังจากอุปสมบทแล้ว หลวงปู่ชอบท่านมีโอกาสได้มาพักจำพรรษาที่วัดป่าหนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี  ณ  ที่วัดแห่งนี้ทำให้หลวงปู่ได้มีโอกาสรู้จักกับสหธรรมิก ๒ องค์ ซึ่งได้ออกร่วมธุดงค์เคียงบ่าเคียงไหล่ฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายมาด้วยกันตั้งแต่สมัยที่ท่านยังเป็นหนุ่ม เพื่อนสหธรรมิกทั้ง ๒ องค์ ของหลวงปู่นี้  ต่อมาพวกเราทั้งหลายรู้จักกันในนามของ หลวงปู่ขาว  อนาลโย  และ หลวงปู่หลุย  จันทสาโร  ซึ่งท่านเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพชรน้ำหนึ่งแห่งวงการพระพุทธศาสนา จากการสืบเสาะหาข่าวของหลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต อย่างต่อเนื่อง  ในที่สุดหลวงปู่ชอบก็ได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานพักอยู่ที่เสนาสนะป่าบ้านสามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม หลวงปู่ชอบจึงได้ชวนสหายทั้งสองของท่านให้ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นด้วยกัน  แต่หลวงปู่ขาว และ หลวงปู่หลุย เกรงว่า ถ้าเข้าไปกราบเป็นศิษย์พร้อมกันหลายองค์ หลวงปู่มั่นอาจไม่รับให้อยู่ในสำนักของท่านก็ได้ เมื่อปรึกษากันแล้ว หลวงปู่ชอบจึงอาสาเป็นหน่วยกล้าตาย เข้าไปกราบหลวงปู่มั่นเพียงองค์เดียวก่อน ให้เพื่อนทั้งสองรอฟังข่าวดี แล้วค่อยตามไปทีหลัง

พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน

เมื่อหลวงปู่ชอบเดินทางมาถึงบ้านสามผง ท่านเล่าว่า เมื่อย่างเท้าเข้าไปในเสนาสนะป่าบ้านสามผง ก็รู้สึกถึงความเงียบ จนท่านประหม่า ขนลุกเกิดอาการวังเวงชอบกล ท่านจึงเดินเข้าไปถามภิกษุหนุ่มหน้าตาอ่อนวัยรูปหนึ่ง ซึ่งอยู่บริเวณนั้น ว่าพระอาจารย์มั่นท่านพักอยู่ที่ไหน  ภิกษุหนุ่มรูปนั้นได้พาหลวงปู่ชอบเข้าไปยังที่พักของหลวงปู่มั่น  เมื่อไปถึงก็เห็นองค์หลวงปู่มั่นนั่งสงบนิ่งอยู่ภายในที่พัก  ท่านจึงวางบาตรและบริขารลงเพื่อเตรียมที่จะเข้ากราบหลวงปู่มั่น ตามธรรมเนียมพระป่า ทันใดนั้น หลวงปู่มั่นก็ดุด่าขับไล่ด้วยเสียงอันดังว่า “ หนีไปเดี๋ยวนี้ พระผีบ้า  มาทำอะไรที่นี่  ครูบาอาจารย์ไม่มีแล้วหรือ   ถึงได้ดั้นด้นมาถึงนี่ พระเคาขาดแบบนี้เราไม่รับไว้หรอก หนีเดี๋ยวนี้  ไปเดี๋ยวนี้ ”

หลวงปู่ทั้งงุนงง ทั้งตกใจ พอเงยหน้าขึ้นสายตาของท่านไปประสานกับตาหลวงปู่มั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงกับสะดุ้งเฮือก ขนลุกไปทั่วสรรพางค์กาย แล้วหลวงปู่ก็รีบเก็บบริขารออกมา เพื่อไปหาที่พักที่อื่น และวางแผนว่าจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต

หลวงปู่เล่าว่า พอมานึกถึงตอนนี้แล้ว ไม่ทราบว่าน้ำตาของตนเองมันไหลเอ่อล้นมาแต่เมื่อไหร่  คิดในใจว่า เมื่อขอปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่มั่นไม่ได้ เราก็จะขอปฏิบัติอยู่ใกล้ๆองค์ท่านแถวนี้แหละ แม้เพียงชั่วคืนเดียวที่ได้อยู่ใกล้ท่านก็พอใจแล้ว พอถึงตอนเช้าหลังจากที่ฉันภัตตาหารเสร็จ หลวงปู่ชอบก็เตรียมตัวออกเดินทางกลับวัดป่าหนองบัวบาน  ขณะที่กำลังจัดบริขารอยู่นั้น ก็เห็นพระหนุ่มรูปเมื่อวานนี้ที่พาท่านเข้าไปกราบหลวงปู่มั่นเข้ามาถามหา พระหนุ่มหน้างามรูปนั้นพูดกับหลวงปู่ชอบว่า “ ครูบา – ครูบา ท่านอาจารย์ใหญ่ บอกให้ผมรีบมาตามครูบากลับไปหาท่านเดี๋ยวนี้ ยังดีนะที่ผมตามมาเจอท่านที่นี่ ถ้าไม่เจอที่นี่ก็ไม่รู้ว่าจะไปตามที่ไหนแล้ว ” หลวงปู่ไม่รอช้า รีบออกเดินตามหลังพระหนุ่มหน้างามนั้นด้วยความดีใจไปทันที    ในระหว่างที่เดินมาด้วยกัน    หลวงปู่ได้ถามพระหนุ่มหน้างามว่า “ ขอโอกาสครูบา  ท่านมีชื่อว่าอย่างไร ”  พระหนุ่มองค์นั้นตอบว่า “ ผมชื่อเทสก์  แล้วครูบาชื่ออะไรล่ะ ”  หลวงปู่ตอบว่า “ ผมชื่อ ชอบ ”

ท่านผู้อ่านครับ  เขียนถึงตรงนี้ผมตื่นเต้นสุดๆ ตื้นตันใจจนขนลุก น้ำตาไหล เพราะพระหนุ่มทั้งสององค์ที่กำลังเดินตามหลังกันไปนี้ ต่อมาพวกเราทั้งหลายรู้จักกันในนามของ หลวงปู่ชอบ  ฐานสโม  และ หลวงปู่เทสก์  เทสรังสี  ทั้งสององค์ก็คือ ลูกศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต ที่พวกเราเคารพศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

เทวดาขอถวายอาหารทิพย์

หลวงปู่ชอบได้มาพักทำความเพียรที่ถ้ำนายม จ.เพชรบูรณ์  ท่านได้เร่งความเพียรอย่างหนัก จนไม่สนใจกับการฉันอาหาร สังขารร่างกายของหลวงปู่ซูบผอมลงอย่างมาก วันหนึ่งได้มีเทวดาองค์หนึ่ง เข้ามากราบคารวะขออนุญาตถวายอาหารทิพย์  เทวดากราบเรียนหลวงปู่ว่า  ที่ท่านมาทำความเพียรอยู่ ณ ที่นี้ เทวดาได้คอยอารักขาท่านตลอดเวลา เหล่าเทพเทวดาที่อยู่บริเวณนั้นได้รับความสุขสงบร่มเย็นโดยทั่วกัน ด้วยกระแสธรรมที่ท่านแผ่ไปให้ไม่มีประมาณ  แม้ใจของพระคุณเจ้าจะผ่องใส แต่ร่างกายของท่านอ่อนเพลีย อาจเป็นอุปสรรคให้ท่านล้มเจ็บลงได้  เทวดาทนดูอยู่หลายวันแล้วอดไม่ได้ วันนี้ต้องขออนุญาตถวายท่านด้วยอาหารทิพย์ หลวงปู่ถามว่าอาหารทิพย์เป็นอย่างไร เทวดาก็เนรมิตอาหารทิพย์ในมือให้ดู ลักษณะเหมือนแท่งดินสอพอง แต่มีลักษณะใสๆ  เทวดาบอกว่านี่ไม่ใช่อาหารธรรมดา ไม่ต้องอาศัยการเคี้ยวหรือกลืน เป็นเพียงโอชารสที่จะซึมซาบเข้าไปในร่างกายเท่านั้น  เทวดาจึงนำอาหารทิพย์นั้นมาถูให้ท่านทางกาย  ปรากฏว่า ร่างกายมีกำลังสดชื่น ราวกับได้ฉันอาหารตลอดเวลาในหลายๆวันที่ผ่านมา  เทวดายังได้เล่าถวายหลวงปู่อีกว่า ในอดีตชาติเคยเกิดเป็นคู่บารมีกันกับหลวงปู่  แม้จะอยู่กันคนละภพภูมิ แต่ก็ปรารถนาถวายอารักขาท่าน

ผจญเสือร้ายระหว่างทาง

ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต ได้ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือ บรรดาศิษย์ของท่านเมื่อทราบข่าว ต่างก็พากันออกธุดงค์ติดตามขึ้นเหนือด้วย หลวงปู่ชอบก็เช่นกัน ท่านได้ออกธุดงค์ตามหาหลวงปู่มั่นไปทาง จ.ลำปาง – เชียงใหม่  พอจะเข้าดงหลวงก็เป็นเวลาจวนค่ำแล้ว ชาวบ้านก็พากันมานิมนต์ขอให้ท่านพักแถวนั้นก่อน หากท่านเดินไม่ทะลุป่าในตอนกลางวัน ท่านต้องตกเป็นอาหารของเสือในป่าอย่างแน่นอน เพราะเสือออกมาเที่ยวหากินทุกคืน ไม่เคยมีรายใดรอดปากเสือไปได้เลย แต่หลวงปู่ไม่ยอมกลับ และขอเดินทางต่อไปในวันนั้น ท่านบอกชาวบ้านว่า ถ้ากรรมมาถึงตัวแล้ว ก็ยอมเป็นอาหารของเสือไปเสีย แต่ถ้ากรรมยังสืบต่ออยู่ มันคงไม่กิน แล้วท่านก็ลาชาวบ้านเดินเข้าสู่ดงหลวง  ท่านก็เดินภาวนา พุทโธ พุทโธ ของท่านไปเรื่อยๆ  ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงเสือโคร่งใหญ่ ร้องกระหึ่มตามมาข้างหลังตัวหนึ่ง และทางข้างหน้าอีกตัวหนึ่ง เสียงจากทั้งสองด้านดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  

ในที่สุดเสือทั้งสองตัวก็ก็มาหยุดยืนอยู่ข้างหน้าและหลังหลวงปู่พร้อมกัน ห่างจากท่านราววาเศษ แล้วต่างก็กระหึ่มกันใหญ่ ทำท่าจะกระโดดเข้ามาตะครุบท่าน หลวงปู่เล่าว่าขณะนั้นจิตกลัวจนเลยกลัว ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ พอได้สติท่านก็กำหนดย้อนกลับจากเสือเข้ามาหาตัวโดยเฉพาะ  ปรากฏว่าจิตของท่านรวมลงจนถึงฐานแห่งสมาธิแท้  และนานเป็นเวลาหลายชั่วโมงจึงถอนขึ้นมา พอจิตถอนขึ้นมาตัวท่านก็ยืนอยู่ที่เดิม บ่าแบกกลดและสะพายบาตร มือข้างหนึ่งหิ้วโคมไฟเทียนไข  ส่วนไฟดับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบเพราะจิตรวมอยู่นาน  หลวงปู่จึงจุดเทียนเล่มใหม่ให้สว่างขึ้น แล้วมองดูรอบๆก็ไม่ปรากฏเห็นเสือทั้งสองตัวนั้นแล้ว ไม่ทราบว่ามันหายไปไหน หลวงปู่จึงออกเดินทางด้วยวิธีจงกรมไปในตัว ในที่สุดก็สามารถพ้นดงหลวงออกมาได้ ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาราว ๐๙.๐๐ น. แล้ว

แม่ไก่เนื้อคู่ในอดีตชาติ

มีอยู่คืนหนึ่งหลวงปู่นั่งภาวนาอยู่ ก็เกิดนิมิตเห็นแม่ไก่ตัวหนึ่งเดินเข้ามาหา พอมาถึงตรงหน้าหลวงปู่ก็กลายร่างเป็นหญิงนางหนึ่ง  นางได้พูดกับหลวงปู่ว่า อดีตชาติเคยเกิดเป็นเมียของหลวงปู่มาก่อน แต่ได้ทำกรรมอันชั่วช้า ผิดศีลข้อกาเม พอตายไปก็ไปตกนรกอยู่นาน พอพ้นขึ้นมาก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่หลายชาติ จนชาตินี้ได้มาเกิดเป็นแม่ไก่ นางบอกอยากพบหลวงปู่มาก ได้มาปรากฏในนิมิตให้เห็นติดต่อกันถึง ๔ วัน  หลวงปู่ก็ไล่นางให้หนีไปทุกครั้ง  จนนางบอกว่า พรุ่งนี้ถ้าไม่เชื่อในเรื่องที่บอก จะมาแสดงตนให้ทราบ โดยการมาจิกผ้าจีวรของหลวงปู่ในตอนที่ท่านออกบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านที่เขาอยู่ ตอนเช้า หลวงปู่ก็ออกบิณฑบาตผ่านไปถึงบ้านหลังที่แม่ไก่ตัวนี้อาศัยอยู่  

ช่วงที่กำลังรอเจ้าของบ้านออกมาใส่บาตรอยู่นั้น ก็มีแม่ไก่ขาวด่างตัวหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหาหลวงปู่ พอมาถึงท่านมันก็วิ่งวนไปมารอบท่านพร้อมกับร้อง กุ๊กๆๆๆ จากนั้นก็วิ่งเข้ามาจิกจีวรท่าน  พอเจ้าของบ้านมาเห็นเข้าเขาก็เลยไล่มันหนี  ในคืนนั้นหลวงปู่ก็นิมิตเห็นแม่ไก่นั้นอีก นางมาขอขมาให้หลวงปู่อโหสิกรรมให้  หลวงปู่ก็อโหสิกรรมให้แก่นาง  นับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา แม่ไก่ขาวด่างตัวนี้ก็ไม่มาปรากฏตัวให้ท่านเห็นอีกเลย

เทศน์โปรดงูพิษเจ้าถ้ำ

หลวงปู่ชอบ  ฐานสโม ท่านเคยขึ้นไปพักบำเพ็ญสมณธรรมในถ้ำแห่งหนึ่ง ชาวบ้านแถบนั้นบอกว่า มีงูพิษสีดำตัวหนึ่งใหญ่เท่ากระบอกไฟฉายขนาดใหญ่ ยาวประมาณเมตรเศษ มีความดุร้ายมาก อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นมาหลายปีแล้ว  งูพิษตัวนี้เคยทำอันตรายผู้คนแถวนั้นมามากมาย  แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรมัน กลัวจะมีอยู่เบื้องหลัง  ชาวบ้านขนานนามให้มันว่า “ เจ้าถ้ำ ” 

หลวงปู่จึงขอให้ญาติโยมขึ้นไปส่งที่ถ้ำนั้น ในคืนแรกที่ขึ้นไปไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ผิดสังเกตเกิดขึ้น  พอถึงตอนเย็นวันที่สอง ก็เห็นงูตัวสีดำเลื้อยออกมาจากซอกหิน แล้วพุ่งตรงมาหาท่านอย่างไม่เกรงกลัว  หลวงปู่ก็คิดในใจว่าต้องเป็นงูตัวที่ชาวบ้านเล่าแน่ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่แสดงอาการอาจหาญถึงเพียงนี้   งูนั้นเลื้อยเข้ามาหยุดห่างจากท่านประมาณหนึ่งวา และแผ่แม่เบี้ยเตรียมฉกหลวงปู่  

หลวงปู่จึงพูดขึ้นว่า “ เรามาอยู่ที่นี่ไม่ได้มาเพื่อมุ่งร้ายใคร แต่มาบำเพ็ญธรรมเพื่อความสุขแก่ตนและเพื่อนร่วมชาติ  เราแผ่เมตตาเพื่อความสุขแก่สัตว์ทั้งปวง มีเธอด้วยผู้หนึ่งที่อยู่ในข่ายควรรับได้ ถ้าเธอยังหวังความสุขกายสบายใจเช่นสัตว์โลกทั่วๆไป ก็ควรรับเมตตาธรรมที่เย็นฉ่ำนี้ ดีกว่าจะมาขู่เข็ญทำลายผู้อื่นซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร เธอจงรับความเป็นมิตรและเมตตาธรรมจากเรา แล้วก็จงไปอยู่เป็นสุขเถิด บางทีเธอละจากชาติสัตว์เดรัจฉานแล้ว อาจได้เลื่อนฐานะขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์  บรรลุถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นไปก่อนเราผู้กำลังกำดำกำขาวกับกิเลสตัวโสมมอยู่เวลานี้ก็เป็นได้ ” 

ขณะที่หลวงปู่กำลังเทศน์สอนงูเจ้าถ้ำอยู่นั้น มันยังคงแผ่แม่เบี้ยอยู่ไม่เคลื่อนไหวเหมือนสัตว์ไม่มีวิญญาณ  พอท่านพูดจบลง งูตัวนั้นกลับเอาหัวลงหมอบสงบนิ่งกับพื้นอยู่นานประมาณ ๑๐ นาที  แล้วหันศีรษะเลื้อยกลับไป นับแต่วันนั้นมา หลวงปู่กับงู ก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบ ไม่มีอะไรเป็นที่ระแวงกันเลย  หลวงปู่เล่าว่า ท่านได้เห็นความอัศจรรย์ของเมตตาธรรมอย่างประจักษ์ ในคราวนั้นอย่างถึงใจอีกครั้ง

เทวดามาเยี่ยมฟังธรรม

หลวงปู่ชอบ  ฐานสโม เป็นพระอรหันต์อีกรูปหนึ่ง ที่มีเหล่าเทพเทวดามาเยี่ยมฟังธรรมจากท่านเสมอ หลวงปู่เล่าว่า เทวดามาเยี่ยมฟังธรรมท่านแต่ละครั้งมีจำนวนไม่แน่นอนมากบ้างน้อยบ้าง ไม่เหมือนพระอาจารย์มั่นผู้เป็นอาจารย์ของท่าน ที่มีเทวดามาฟังธรรมกับท่านอย่างล้นหลาม เครื่องนุ่งห่มของเทวดา ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างที่มาในบางครั้งมีสีขาวล้วนบ้าง สีแดงล้วนบ้าง เป็นแบบเดียวกันทั้งหมดในชุดที่มา  เวลาที่พวกเทวดาเข้ามาหาพระผู้ทรงศีลทรงธรรม หัวหน้าเทวดาที่พามาประกาศห้ามไม่ให้ใส่เครื่องประดับตกแต่งเข้าไปหาพระ ให้นุ่งห่มแบบเรียบๆ เหมือนพุทธมามกะชาวพุทธ  เทวดาแต่ละพวกที่มาชอบธรรมแตกต่างกัน  บางพวกชอบรับศีลก่อนฟังธรรม  บางพวกชอบฟังธรรมสังโยชน์เบื้องบน  บางพวกชอบฟังสังโยชน์เบื้องต่ำ บางพวกชอบฟังธรรมจักกัปปวัตนสูตร  พวกเทวดาก็ยังมีความรัก ความชอบอยู่เพราะยังไม่สิ้นกิเลส

พญานาคเทพนาคา

หลวงปู่ชอบท่านเคยธุดงค์ร่วมกันกับ หลวงปู่เหรียญ  วรลาโภ ในท้องที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่  หลวงปู่เหรียญเล่าว่า อยู่มาวันหนึ่งขณะที่หลวงปู่ชอบกำลังภาวนา พอจิตสงบลง ก็เกิดแสงสว่างพุ่งไปสู่ทางจงกรมของท่าน ขณะนั้นปรากฏเห็นพญานาคตัวหนึ่ง โผล่มาที่หัวทางจงกรมนั้น หลวงปู่ชอบ ก็ถามพญานาคว่ามาจากไหน เขาบอกว่าเขามาจากลำธารที่เชิงเขาลูกนี้ ท่านจึงถามพญานาคต่อว่า “ ท่านชื่อว่าอย่างไร ”  พญานาคตอบว่า “ ข้าพเจ้ามีชื่อว่า เทพนาคา ”  พญานาคตนนี้มีขนาดใหญ่ และยาวมาก เมื่อเอาหัวโผล่ขึ้นที่ทางจงกรมแล้ว ก็เอาหางพาดไว้ที่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ จึงถามหลวงปู่ชอบว่า ลักษณะสีของพญานาคเป็นอย่างไร หลวงปู่ชอบบอกว่า พญานาคนั้นมีหงอนสีแดง  มีแผงเหมือนม้า และลำตัวเป็นเกร็ดสีดำเลื่อม แสดงตัวให้ดูอยู่ครู่หนึ่งก็จมลงไปในที่เดิมนั้นเอง

เปิดธรรมธาตุให้กันฟัง

หลังออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๘๘ หลวงปู่ชอบท่านอยากเที่ยววิเวกในเขต อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ก่อนที่จะกลับภาคอีสาน ท่านจึงได้ชวนหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ออกเที่ยววิเวกด้วยกัน แต่หลวงปู่แหวนท่านยังอยากอยู่ที่วัดป่าห้วยน้ำรินต่อไปอีกสักระยะ  พอดีกับที่หลวงปู่ขาว  อนาลโย ซึ่งพักอยู่ที่บ้านโหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ทราบว่าสหายทั้งสองคือหลวงปู่แหวน และ หลวงปู่ชอบ พักอยู่ด้วยกันที่วัดป่าห้วยน้ำริน จึงเดินทางมาเยี่ยม  หลวงปู่ขาวมีความประสงค์ที่จะชวนหลวงปู่แหวน และ หลวงปู่ชอบกลับอีสานด้วยกัน เพราะต่างองค์ต่างก็มาพักอยู่ทางภาคเหนือหลายปีแล้ว

เมื่อหลวงปู่ทั้งสามมีโอกาสมาเจอกันอีกครั้ง ต่างองค์ต่างก็เล่าถึงผลของการปฏิบัติสู่กันฟัง  ตอนหนึ่งหลวงปู่ขาวได้ถามหลวงปู่ชอบว่า “ ท่านอาจารย์ชอบไปอยู่ทางพม่าเป็นอย่างไรบ้าง  ภาวนาดีไหม ”  หลวงปู่ชอบตอบว่า “ ภาวนาอยู่ทางเมืองพม่าดีมาก การปฏิบัติมีแต่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จนสุดหนทางที่ผมจะต้องเดินต่อไปอีก  ไม่มีภาระอะไรเหลือให้ผมทำอีกแล้ว ผมมีปัญญาเป็นของตนเองแล้ว การเกิดของผมนับแต่นี้เป็นต้นไป เป็นอันว่ายุติไว้ที่ชาตินี้เท่านั้น ”  เมื่อหลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ขาว ได้ฟังคำตอบของหลวงปู่ชอบ ต่างองค์ต่างก็ทราบว่าหลวงปู่ชอบท่านสำเร็จกิจแล้วในพระศาสนา ต่างก็พากันอนุโมทนากับหลวงปู่ชอบที่ข้ามพ้นวังวนไปได้แล้ว ส่วนหลวงปู่ขาว ท่านบอกกับสหธรรมิกทั้งสองของท่านว่า “ พันธุ์ข้าวของผมสุกหมดแล้ว ไม่มีเชื้อเหลือพอที่จะปลูกให้มันเกิดขึ้นมาได้อีกแล้ว ” ในส่วนขององค์หลวงปู่แหวนในตอนนั้น ท่านนั่งฟังสหายทั้งสองของท่านสนทนากัน  ท่านก็อนุโมทนายินดีกับเพื่อนด้วย ที่พากันก้าวพ้นห้วงทุกข์ไปได้หมด  ยังเหลือแต่องค์ท่านเท่านั้นที่ยังมีงานให้ต้องสะสางต่อไปอีก หลวงปู่ชอบ และ หลวงปู่ขาว จึงได้ชวนหลวงปู่แหวนกลับภาคอีสานด้วยกัน แต่หลวงปู่แหวนได้ปฏิเสธ และจะอยู่ที่เชียงใหม่ต่อไป ถ้าตราบใดที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ก็จะไม่กลับเด็ดขาด ถ้าหากว่าสิ้นกิเลสแล้วเมื่อไหร่เรื่องที่จะกลับอีสานค่อยคิดดูอีกที  เมื่อเพื่อนยืนยันเช่นนั้น หลวงปู่ขาว กับ หลวงปู่ชอบจึงได้เดินทางกลับภาคอีสานด้วยกัน

เสียงพญานาค

หลวงปู่บุญฤทธิ์  ปัณฑิโต ท่านเป็นลูกศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่ชอบ  ฐานสโม  เคยอยู่ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่ชอบนานหลายปี  หลวงปู่บุญฤทธิ์เล่าว่า  ท่านมีโอกาสได้เข้าปรนนิบัติท่านพ่อลี  ธัมมธโร และได้กราบเรียนถามท่านว่า “  ท่านอาจารย์ครับ  พระอาจารย์ชอบ  ฐานสโม คือใครครับผม ”ท่านพ่อลี ตอบว่า “ โอ!  นั่นแหละลูกศิษย์มีอภิญญาของหลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต  ถามทำไม  เคยเห็นท่านหรือ ”  หลวงปู่บุญฤทธิ์ตอบว่าเคยเห็นท่านที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ แล้วคิดว่าหลวงปู่ชอบต้องไม่ธรรมดาแน่  ขนาดท่านพ่อลี วัดอโศการามที่ว่ามีอภิญญามากแล้ว ยังกล่าวยกย่องหลวงปู่ชอบถึงเพียงนี้  หลวงปู่บุญฤทธิ์จึงเก็บอัฐบริขารมุ่งสู่ จ.เชียงใหม่ เพื่อไปศึกษากับหลวงปู่ชอบ

หลวงปู่บุญฤทธิ์ได้ไปอยู่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่ชอบที่ผาเด่ง ท่านเล่าว่า ขณะที่ภาวนาอยู่นั้น บางวันได้ยินเสียงดังเหมือนหวูดรถไฟ จึงเข้าไปกราบเรียนถามหลวงปู่ชอบ ท่านบอกว่า นั่นเป็นเสียงพญานาค หลวงปู่บุญฤทธิ์บอกว่าเสียงพญานาคนั้นดังมาก จนอากาศบริเวณนั้นสะเทือนเลยทีเดียว ถ้าจะว่าเสียงหวูดรถไฟก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะที่นั่นเป็นกลางป่ากลางเขาห่างไกลความเจริญ ถ้าจะว่าเป็นเสียงช้างเสียงเสือหรือสัตว์ชนิดอื่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเสียงสัตว์เหล่านั้นท่านจำได้ดี

หยุดกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว

ครั้งหนึ่งหลวงปู่ชอบท่านพักอยู่ที่ผาแด่น ในเขต อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยพระเณรที่ตามขึ้นไปทำความเพียรบนยอดเขานั้น  วันนั้นเป็นวันพระ จะต้องลงเขาไปร่วมอุโบสถ หลวงปู่ก็นำพระเดินลงมาจากผาแด่น พอไปถึงลำธาร ปรากฏว่าน้ำไหลแรงมาก  เพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก และได้ตกติดต่อกัน เป็นเวลานาน ทางเดินจากยอดเขา ที่จะผ่านลำธารนั้น ถูกตัดขาดด้วยกระแสน้ำ ไม่มีใครกล้าข้ามสักคน ด้วยน้ำไหลเชี่ยวและลำธารนั้นลึกมาก หลวงปู่ไปยืนพิจารณาอยู่ริมลำธาร เพียงอึดใจเดียว กระแสน้ำที่กำลังไหลเชี่ยว ก็พลันหยุดนิ่งในทันที ! 

  ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึงกันหมด ต่างก็คิดกันว่า เคยได้ยินเรื่องอัศจรรย์ของหลวงปู่มาก็มาก ไม่นึกว่าจะได้มาพบกับตาตัวเองก็คราวนี้ หลวงปู่ก้าวข้ามลำธารไปก่อน มองกลับมาเห็นศิษย์แต่ละคนกำลังอยู่ในอาการตกตะลึง  ท่านจึงเรียกให้ข้ามตามท่านมา  บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็พากันกลัวๆกล้าๆ  กว่าจะได้สติกัน ก็เดินข้ามลำธารกันมาหมดทุกองค์แล้ว  เมื่อพ้นมาเพียงอึดใจเดียว กระแสน้ำในลำธารที่หยุดนิ่งเมื่อสักครู่นี้ ก็เกิดไหลเชี่ยวกรากต่อไปดังเดิม มีพระไปกราบเรียนถามหลวงปู่ว่าทำอย่างไรจึงหยุดน้ำได้ หลวงปู่ตอบว่า “ภาวนาไปก็รู้เอง ”

สยบช้างด้วยอำนาจจิต

ครั้งหนึ่งหลวงปู่ชอบท่านกำลังยื่นแตงกวาให้กับช้างลากไม้  มีพระอุปัฏฐากเป็นผู้เข็นรถเข็นให้หลวงปู่นั่ง และยื่นแตงกวาให้หลวงปู่เอาป้อนช้าง ( ในระยะหลังหลวงปู่เป็นอัมพาต ) มีพระองค์หนึ่งดันมาถ่ายรูปเอาตอนที่หลวงปู่กำลังยื่นแตงกวาให้ช้าง  เมื่อแสงแฟลชพุ่งวาบออกมา ช้างมันก็ตกใจ หูของมันกางผึ่งขึ้นมาทันที  พระอุปัฏฐากรีบดึงรถเข็นหลวงปู่ออกมาให้พ้นจากวิถีของงวงช้าง  

ช้างมันก็วิ่งตรงเข้ามาหาหลวงปู่ทันที เจ้าของช้างที่นั่งอยู่บนคอของมัน พยายามเอาตะขอสับลงที่หัวช้างหลายทีแต่มันก็ยังไม่หยุดความโมโห  แถมยังเป็นการเพิ่มอารมณ์โกรธของมันให้มากเพิ่มขึ้นอีก มันพยายามสะบัดเจ้าของให้ตกลงจากคอ แต่เจ้าของมันจับโซ่ไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ แววตาของมันดุร้ายหมายเอาชีวิตหลวงปู่และพระอุปัฏฐากให้ได้ ช้างตรงเข้ามาหาหลวงปู่ หูของมันกางผึ่ง หางของมันตั้งชี้ขึ้น ชูงวงขึ้นบนหัว เหมือนจะฟาดลงมาที่องค์หลวงปู่  

พระอุปัฏฐากตกใจกลัวมันจะทำร้ายหลวงปู่จนร้องออกมาไม่เป็นเสียงพระเสียงคน  พอมองดูหลวงปู่เห็นองค์ท่านยังคงนั่งนิ่งเฉยบนรถเข็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตาของหลวงปู่จ้องเขม็งอยู่ที่ช้างตัวนั้นอย่างไม่กระพริบ  พลันช้างตัวนั้นก็หยุดชะงักความบ้าคลั่งลงทันที  มันยืนตัวแข็งทื่ออยู่ประมาณ ๑ นาที แล้วร้องออกมาเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ พร้อมกับหันหลังเดินกลับไป โดยที่เจ้าของไม่ได้สั่งหรือเอาตะขอสับบนหัวของมันเลย

พญานาคที่น้ำตกไนแองการ่า

ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ หลวงปู่ชอบได้รับนิมนต์ไป สหรัฐอเมริกา  ลูกศิษย์ได้พาท่านไปชมน้ำตกไนแองการ่า ซึ่งอยู่ตรงพรมแดนของประเทศสหรัฐอเมริกา และ แคนาดา  เมื่อหลวงปู่ชอบมาถึงบริเวณน้ำตกได้ประมาณ ๑๐ นาที  ท้องฟ้าที่กำลังมีแดดเปรี้ยงๆ ก็กลับแปรสภาพเป็นกลุ่มเมฆดำมาปิดบังแสงพระอาทิตย์  เป็นเงาลางๆอยู่เหนือน้ำตก แต่รอบนอกบริเวณน้ำตกออกไป ๕๐๐ เมตร แสงแดดยังคงสว่างจ้าเหมือนเดิม  จากนั้นฝนก็ได้โปรยละอองลงมานานประมาณ ๑๐ นาที พอฝนหยุดก็นำหลวงปู่ออกมาชมน้ำตกอีกครั้ง  พาหลวงปู่ออกมาได้ไม่นานฝนก็ตกลงมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หนักกว่าครั้งแรกมาก ไม่ทราบว่ามีฝนตกลงมาได้อย่างไร ทั้งๆที่ไม่มีเค้ามาก่อนและอุตุนิยมก็ไม่ได้แจ้งเตือนล่วงหน้ามา  ลูกศิษย์จึงถามหลวงปู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านตอบว่า พญานาคในน้ำตกเข้ามาคารวะท่าน เขามากันสองพ่อลูก  พากันมาแผ่พังพานบังแดด และพ่นน้ำขึ้นไปบนฟ้า

หลวงปู่ลาขันธ์

เมื่อหลวงปู่มีอายุได้ ๙๐ ปี ท่านได้อาพาธและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลายครั้ง   ครั้งสุดท้ายท่านอาพาธด้วยโรคชรา หลวงปู่เข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลศิริราช  อาการของท่านทรุดหนัก หลวงปู่เจี๊ยะ  จุนโท พิจารณาแล้วเห็นควรเชิญท่านกลับมาละสังขารที่วัด ตามประเพณี ของพระป่าสายกรรมฐาน   หลวงปู่ชอบ  ฐานสโม ได้มรณภาพอย่างสงบ ในระหว่างเดินทางกลับสู่ จ.เลย  เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘ สิริรวมอายุได้ ๙๕ ปี ๗๐ พรรษา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น