วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

ตอน พญานาคเชียงคาน


ตอน พญานาคเชียงคาน
พระคุณเจ้าหลวงปู่เสาร์  ท่านพาลูกศิษย์ลงจากพระพุทธบาทภูควายเงิน  บ้านผาแผ่น  ตำบลเชียงคาน  อำเภอเชียงคาน  จังหวัดเลย  เพื่อมาพักภาวนาที่วัดร้างแห่งหนึ่ง  วัดร้างแห่งนี้จะอยู่ติดกันกับแม่น้ำโขง  วัดแห่งนี้จะอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงคานมากเท่าไร  ชาวบ้านท้องถิ่นในสมัยนั้นเรียกชื่อวัดแห่งนี้ว่า  วัดท่าแข่  ( วัดท่าจรเข้ )  หลวงปู่ชอบท่านเล่าถึงตอนที่หลวงปู่เสาร์พาท่านมาพักภาวนาที่วัดท่าแขกให้ฟังว่า  

        “  ตอนท่านอาจารย์เสาร์พาเราและหมู่คณะมาพักภาวนาอยู่ที่วัดท่าแข่  ( วัดท่าแขก )  วัดท่าแข่ตอนนั้นเป็นวัดร้าง  มีโบสถ์เก่าและซากเจดีย์ถูกเถาวัลย์พันธุ์ไม้ปกคลุมหนาแน่นไปหมด  แสดงว่าวัดนี้ถูกทิ้งให้รกร้างมานานแล้ว  ป่าไม้ก็แน่นหนาจนมองแทบไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน  เรากลางกลดจัดที่พักให้ท่านอาจารย์เสาร์อยู่ทางปากห้วยตกโขง  ทางเดียวกันกับทางต้นโพธิ์ใหญ่ทุกวันนี้แหละ  ส่วนเราไปกลางกลดพักอยู่ทางไปบ้านน้อยแก่งคุดคู้  ”

        “  ตอนเช้าท่านอาจารย์เสาร์พาพวกเราไปบิณฑบาตในเมืองเชียงคาน  บิณฑบาตผ่านบ้านโยมคนไหนท่านอาจารย์เสาร์ก็จะบอกบุญกับโยมว่า  ให้โยมพากันเอาจอบเสียมมีดพร้ามาช่วยกันตัดถางเครือเถาวัลย์พันธุ์ไม้ที่ขึ้นปกคลุมซากเจดีย์และโบสถ์  ท่านจะพาชาวบ้านบูรณะซ่อมแซมวัดร้างแห่งนี้  ชาวบ้านบอกกท่านว่าเขาจะชวนกันออกมาช่วยท่านบูรณะวัดท่าแข่ ( วัดท่าแขก )  ”

        “  ชาวบ้านพากันมาตัดเครือไม้เถาวัลย์ที่คลุมโบสถ์และเจดีย์ออก  อาจารย์เสาร์ท่านก็พาพระเณรและชาวบ้านเก็บซากอิฐขึ้นมาเรียงซ้อนกันใหม่เท่าที่จะทำได้  ตอนรื้อค้นขนซากอิฐเก่านั้นได้พบพระพุทธรูปเก่าโบราณ  และเครื่องใช้ไม้สอยพวกถ้วยชามนามกระเบื้อง  เป็นของใช้ของลาวหลวงพระบาง  พระพุทธรูปเก่าที่ค้นพบนั้น  มีพระพุทธรูปที่ทำจากทองคำ  ทำจากสำริด  ทำจากชินเงิน      และพระพุทธรูปที่แกะสลักจากไม้  แต่ส่วนมากจะเป็นพระพุทธรูปที่ทำจากไม้  ”  

       “  พระพุทธรูปเหล่านี้ส่วนมากจะถูกซากอิฐทับถมไว้  ชาวบ้านบางคนเห็นพระพุทธรูปที่ทำด้วยทองคำ  เขาอยากจะได้  อยากเอาไปครอบครองเป็นเจ้าของ  ท่านอาจารย์เสาร์ห้ามไม่ให้ใครเอาพระหรือของเก่าในที่นี่ออกไป  ท่านว่าของเหล่านี้เป็นสมบัติของพระศาสนา  ของเหล่านี้เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน  ถ้าใครเอาไปครอบครองโดยมิชอบแล้วจะเกิดความวิบัติในปัจจุบัน  ชาวบ้านเขากลัวตามคำที่ท่านบอก  เขาจึงไม่กล้าเอาของพวกนี้ไปเป็นสมบัติส่วนตัว  ”

        หลวงปู่เสาร์ท่านพาหลวงปู่ชอบพระเณร  และชาวบ้านเชียงคานบูรณะสถานที่วัดร้างท่าแขกอยู่ประมาณเจ็ดวัน  จนเป็นที่พอใจของท่านแล้วท่านจึงสั่งให้หยุดการทำงานนอก  และให้พระเณรพากันทำงานใน  งานในคือการทำความเพรียรเดินจงกรมภาวนา  หลวงปู่ท่านเล่าถึงประสบการณ์ในการภาวนาของท่านตอนอยู่วัดท่าแขกให้ฟังว่า
        มีคืนหนึ่งท่านนั่งภาวนาอยู่  พอจิตของท่านสงบลง  ปรากฏมีลำแสงสีขาวพุ่งออกมาจากทางโบสถ์เก่าวัดท่าแขก  ลำแสงสีขาวนี้ลอยวนอยู่รอบๆกลดของท่าน  แล้วก็พุ่งเข้ามาชนที่หน้าอกของท่าน  หายเข้าไปในทรวงอกของท่าน  ท่านนำนิมิตที่เห็นนี้มาพิจารณาดู  และทราบว่าสถานที่แห่งนี้ท่านเคยมีความผูกพันมาแต่ในอดีต  ในอนาคตท่านจะได้เข้ามาเกี่ยวข้องดูแล  แสงสีขาวที่พุ่งชนหน้าอกของท่านนั้นคือดวงจิตของพญานาคนามว่า  อิสโรนาคา  ที่เขาพิทักษ์รักษาสมบัติของพระศาสนาที่มีอยู่ในวัดท่าแขก  เขาได้ยกวัดนี้ให้ท่านดูแล

        กราบเรียนถามองค์ท่านว่า  หลวงปู่ได้เห็นพญานาคครั้งแรกอยู่ที่ไหน  ท่านตอบว่า  ท่านเห็นพญานาคครั้งแรกที่แม่น้ำโขงเมืองเชียงคาน  เห็นที่วัดท่าแขกนี่แหละ  พญานาคที่มาแสดงตนให้ท่านเห็นนั้นชื่ออิสโรนาคา  มีบาดาลวิมานเมืองอยู่ที่ปากแม่น้ำเลยไหลลงแม่น้ำโขง  เมืองของอิสโรนาคาท่านว่าใหญ่กว่าเมืองเชียงคานมาก  มีอาณาเขตไกลไปจนถึงเขตอำเภอน้ำปาดจังหวัอุตรดิตถ์  พญานาคตนนี้ท่านบอกว่ามีอายุมากถึง  ๑๒,๐๐๐  ปี  ชั้นบรรดาศักดิ์ของเขาหากเปรียบเทียบเหมือนกับมนุษย์แล้ว  อิสโรนาคานั้นเทียบเท่ากับตำแหน่งนายอำเภอ ..  


ต่อจากเรื่องที่องค์ท่านเล่า  เรียนถามองค์ท่านว่าหลวงปู่เห็นพญานาคครั้งแรกที่ไหน  ท่านตอบว่า  ท่านเห็นพญานาคครั้งแรกที่แม่น้ำโขงเมืองเชียงคาน  ตรงท่าน้ำวัดท่าแขก( ปากห้วยตกโขง )  พญานาคเขามาแสดงตนให้ท่านเห็นด้วย “ ตาเนื้อ ” ตอนที่ท่านกำลังสรงน้ำที่ท่าน้ำแห่งนี้เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็น

ทีแรกท่านเข้าใจว่าเป็นท่อนไม้ที่ลอยมากับน้ำโขง  แต่เมื่อท่านมองดูอย่างถี่ถ้วนแล้วมันไม่ใช่ขอนไม้ตามที่ท่านเข้าใจในเบื้องต้น  เพราะสิ่งที่ท่านเห็นนี้มันมีสัณฐานลักษณะสีดำมะเลื่อมคล้ายกับงูขนาดใหญ่  มีความยาวประมาณเกือบ ๑๐๐ เมตร  ถึงแม้น้ำจะไหลแรงแค่ไหน  แต่สิ่งที่ท่านเห็นนี้กับไม่เคลื่อนไหวไหลไปตามสายน้ำเลย  แล้วสิ่งนี้ก็ค่อยๆลอยเคลื่อนตัวในลักษณะขวางกับลำน้ำเข้ามาทางที่ท่านกำลังสรงน้ำอยู่

พอเข้ามาใกล้ท่านประมาณ ๒๐ วาก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวไปไหนอีก  บางครั้งก็ทำตัวให้จมน้ำแล้วก็ค่อยๆลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ  จะทำสลับไปสลับมาอยู่แบบนี้หลายครั้ง  ถึงตอนนี้หลวงปู่ชอบท่านนึกขึ้นมาในใจว่า นี่หรือคือ พญานาค  เหมือนกับว่าเขาจะรับรู้ในความคิดของท่าน  หลังจากท่านยืนตะลึงมองดูอยู่ไม่กี่อึดใจ  ปรากฏว่ามีน้ำพุ่งขึ้นไปบนอากาศคล้ายกับน้ำพุ  เหมือนกับว่าที่ใต้ลำน้ำโขงมีอะไรบางอย่างที่ทำให้น้ำเกิดพุ่งขึ้นมา  หลังจากน้ำพุงขึ้นไปบนฟ้าแล้ว  ตัวดำๆลักษณะคล้ายกับงูใหญ่นี้ก็ได้จมหายลงไปในแม่น้ำโขง   

ตกกลางคืนขณะที่ท่านภาวนาอยู่  ได้มีบุรุษท่านหนึ่งแต่งกายภูมิฐานเหมือนกับเจ้านายทางเมืองลาวในสมัยก่อนมาปรากฏตัวให้ท่านเห็นในนิมิต  บุรุษท่านนี้บอกกับหลวงปู่ชอบว่าเขาเป็นพญานาคที่เฝ้าทรัพย์สมบัติของพระพุทธศาสนาอยู่ที่วัดร้างแห่งนี้  เขาดีใจที่หลวงปู่เสาร์และพระเณรพาชาวบ้านบูรณสมบัติของศาสนาที่นี่  เขาดีใจที่ได้เห็นพระเณรผู้ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมมาบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้  หลังจากที่วัดแห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งให้ร้างมาเกือบร้อยปี

หลวงปู่ชอบท่านถามพญานาคตนนี้ว่า  ใช่ท่านหรือเปล่าที่แสดงตนให้อาตมาเห็นเมื่อตอนบ่าย  เขาบอกท่านว่าเป็นเขาเองที่แสดงตนให้ท่านเห็น  เหตุที่แสดงตนให้ท่านเห็นด้วยตาเนื้อนั้นเพราะข้าพเจ้าอยากจะให้ท่านได้รู้ถึงภพภูมินี้ว่า  มีอยู่จริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเอาไว้  และเพื่อแสดงออกในอนุโมทนาบุญที่พระคุณเจ้าและคณะได้บูรณะสมบัติพระศาสนาของวัดนี้  ข้าพเจ้าจึงแสดงอนุโมทนาให้ท่านเห็นโดยการ “ พ่นน้ำ ” ขึ้นบนอากาศ 

ท่านถามพญานาคตนนี้ว่า  ท่านมีชื่อว่าอะไร  เขาตอบท่านว่า  ข้าพเจ้ามีนามว่า อิสโรนาคราช  มีวิมานบาดาลอยู่ที่ปาก แม่น้ำเลย ไหลลงแม่น้ำโขง  ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเมืองบาดาลอยู่ที่นี่ 

เมืองของพญานาคอิสโรนั้น  หลวงปู่ชอบท่านว่าเมืองนี้ใหญ่กว่าอำเภอเชียงคานมาก  พญานาคตนนี้มีอายุมากถึง  ๑๒,๐๐๐  ปี ( หนึ่งหมื่นสองพันปี )  บรรดาศักดิ์ของอิสโรนาคราชหากเปรียบเหมือนข้าราชการบนเมืองมนุษย์  อิสโรนาคราชมีตำแหน่งเทียบเท่ากับนายอำเภอ.. 

ต่อจากเรื่องที่องค์ท่านเล่า  เรียนถามองค์ท่านว่าหลวงปู่เห็นพญานาคครั้งแรกที่ไหน  ท่านตอบว่า  ท่านเห็นพญานาคครั้งแรกที่แม่น้ำโขงเมืองเชียงคาน  ตรงท่าน้ำวัดท่าแขก( ปากห้วยตกโขง )  พญานาคเขามาแสดงตนให้ท่านเห็นด้วย “ ตาเนื้อ ” ตอนที่ท่านกำลังสรงน้ำที่ท่าน้ำแห่งนี้เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็น

ทีแรกท่านเข้าใจว่าเป็นท่อนไม้ที่ลอยมากับน้ำโขง  แต่เมื่อท่านมองดูอย่างถี่ถ้วนแล้วมันไม่ใช่ขอนไม้ตามที่ท่านเข้าใจในเบื้องต้น  เพราะสิ่งที่ท่านเห็นนี้มันมีสัณฐานลักษณะสีดำมะเลื่อมคล้ายกับงูขนาดใหญ่  มีความยาวประมาณเกือบ ๑๐๐ เมตร  ถึงแม้น้ำจะไหลแรงแค่ไหน  แต่สิ่งที่ท่านเห็นนี้กับไม่เคลื่อนไหวไหลไปตามสายน้ำเลย  แล้วสิ่งนี้ก็ค่อยๆลอยเคลื่อนตัวในลักษณะขวางกับลำน้ำเข้ามาทางที่ท่านกำลังสรงน้ำอยู่

พอเข้ามาใกล้ท่านประมาณ ๒๐ วาก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวไปไหนอีก  บางครั้งก็ทำตัวให้จมน้ำแล้วก็ค่อยๆลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ  จะทำสลับไปสลับมาอยู่แบบนี้หลายครั้ง  ถึงตอนนี้หลวงปู่ชอบท่านนึกขึ้นมาในใจว่า นี่หรือคือ พญานาค  เหมือนกับว่าเขาจะรับรู้ในความคิดของท่าน  หลังจากท่านยืนตะลึงมองดูอยู่ไม่กี่อึดใจ  ปรากฏว่ามีน้ำพุ่งขึ้นไปบนอากาศคล้ายกับน้ำพุ  เหมือนกับว่าที่ใต้ลำน้ำโขงมีอะไรบางอย่างที่ทำให้น้ำเกิดพุ่งขึ้นมา  หลังจากน้ำพุงขึ้นไปบนฟ้าแล้ว  ตัวดำๆลักษณะคล้ายกับงูใหญ่นี้ก็ได้จมหายลงไปในแม่น้ำโขง   

ตกกลางคืนขณะที่ท่านภาวนาอยู่  ได้มีบุรุษท่านหนึ่งแต่งกายภูมิฐานเหมือนกับเจ้านายทางเมืองลาวในสมัยก่อนมาปรากฏตัวให้ท่านเห็นในนิมิต  บุรุษท่านนี้บอกกับหลวงปู่ชอบว่าเขาเป็นพญานาคที่เฝ้าทรัพย์สมบัติของพระพุทธศาสนาอยู่ที่วัดร้างแห่งนี้  เขาดีใจที่หลวงปู่เสาร์และพระเณรพาชาวบ้านบูรณสมบัติของศาสนาที่นี่  เขาดีใจที่ได้เห็นพระเณรผู้ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมมาบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้  หลังจากที่วัดแห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งให้ร้างมาเกือบร้อยปี

หลวงปู่ชอบท่านถามพญานาคตนนี้ว่า  ใช่ท่านหรือเปล่าที่แสดงตนให้อาตมาเห็นเมื่อตอนบ่าย  เขาบอกท่านว่าเป็นเขาเองที่แสดงตนให้ท่านเห็น  เหตุที่แสดงตนให้ท่านเห็นด้วยตาเนื้อนั้นเพราะข้าพเจ้าอยากจะให้ท่านได้รู้ถึงภพภูมินี้ว่า  มีอยู่จริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเอาไว้  และเพื่อแสดงออกในอนุโมทนาบุญที่พระคุณเจ้าและคณะได้บูรณะสมบัติพระศาสนาของวัดนี้  ข้าพเจ้าจึงแสดงอนุโมทนาให้ท่านเห็นโดยการ “ พ่นน้ำ ” ขึ้นบนอากาศ 

ท่านถามพญานาคตนนี้ว่า  ท่านมีชื่อว่าอะไร  เขาตอบท่านว่า  ข้าพเจ้ามีนามว่า อิสโรนาคราช  มีวิมานบาดาลอยู่ที่ปาก แม่น้ำเลย ไหลลงแม่น้ำโขง  ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเมืองบาดาลอยู่ที่นี่ 

เมืองของพญานาคอิสโรนั้น  หลวงปู่ชอบท่านว่าเมืองนี้ใหญ่กว่าอำเภอเชียงคานมาก  พญานาคตนนี้มีอายุมากถึง  ๑๒,๐๐๐  ปี ( หนึ่งหมื่นสองพันปี )  บรรดาศักดิ์ของอิสโรนาคราชหากเปรียบเหมือนข้าราชการบนเมืองมนุษย์  อิสโรนาคราชมีตำแหน่งเทียบเท่ากับนายอำเภอ.. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น