วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2560

สองพระอริยะเจ้าร่วมโปรดธรรมดับทุกข์ในใจของ ผู้หญิงทำแท้ง


สองพระอริยะเจ้า
องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม-หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต

ร่วมโปรดธรรมดับทุกข์ในใจของ ผู้หญิงทำแท้ง..
ตอน แท้งธรรม แท้งทุกข์
บันทึกครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๓
ที่ บ้านเรือนไทยคุณจงรักษ์ หลังโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา หัวหมาก กรุงเทพมหานคร..

โยมผู้หญิงคนนี้กราบเรียน องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม กับ หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ว่า ตอนเป็นนักศึกษาเขาเคยผิดศีลปาณาติบาตทำแท้งตอนอายุครรภ์ของตนเองได้หกเดือน เขาเองตอนนั้นก็ไม่อยากจะทำแท้งเพราะกลัวในเรื่องบาปกรรม แต่ที่จำเป็นต้องทำแบบนี้ลงไปนั้นเพราะเขาถูกแฟนคนเก่าบังคับให้ไปทำแท้ง พอเขาไม่ไปทำแท้งก็จะถูกผู้ชายคนนี้รังแกทุบตี ตนเองจึงจำใจยอมไปทำแท้งเอาลูกในครรภ์ออกทั้งๆที่ใจนั้นก็รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนี้ มันเป็นบาป..
ผู้หญิงคนนี้ว่าหลังจากทำแท้งไปแล้วใจของเขาก็รู้สึกเป็นทุกข์ในบาปกรรมของตนเองตลอดมา..

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็จะไปวัดทำบุญอุทิศให้กับก้อนเลือดก้อนเนื้อของลูกผู้หาชีวิตไม่เจอ เวลาไปวัดทำบุญได้ยินพระเทศน์เรื่องบาปเรื่องกรรม หรือเห็นข่าวคนทำแท้งทิ้งลูกเมื่อไหร่ ใจเขาก็จะเกิดอาการหลอนบาปขึ้นมาในใจของตนเอง..

ผู้หญิงคนนี้กราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่ชอบกับหลวงพ่อบุญฤทธิ์..
ทุกวันนี้เขามีลูกชายอยู่คนเดียว เขาตั้งใจจะรักษาชีวิตลูกชายคนนี้ของเขาให้ดีที่สุดเพื่อทดแทนสิ่งที่ตนเองเคยเสียไปในอดีต..

ผู้หญิงคนนี้กราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่ชอบกับหลวงพ่อบุญฤทธิ์ว่า
“ เรื่องนี้เป็นความลับในใจที่ลูกไม่เคยบอกกับใคร แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่กล้าบอกท่านเพราะกลัวท่านทั้งสองจะเสียใจในการกระของตนเองที่เคยพลาดพลั้ง ลูกเล่าให้หลวงปู่กับหลวงพ่อฟังเพราะไม่รู้จะไปพูดเรื่องทุกข์ในใจของตนเองกับใครได้ บาปกรรมนี้ลูกยอมรับทั้งหมด ”

หลวงปู่ชอบท่านมองผู้หญิงคนนี้กับลูกชายของเขาโดยไม่พูดจาอะไรออกมา หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านบอกให้ตนเองถามหลวงปู่ชอบ ตนเองส่ายหน้าไม่กล้าถามเพราะสายตาหลวงปู่ชอบท่านเป็นขึงๆ ตนเองบอกหลวงพ่อบุญฤทธิ์ให้ถามครูบาอาจารย์เอาเองผมไม่กล้า..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านถามหลวงปู่ชอบ “ ท่านอาจารย์ว่ายังไงขอรับ ขอท่านอาจารย์เมตตาชี้แนะทุกข์ทางใจให้กับโยมคนนี้เขาด้วย ”..

หลวงปู่ชอบท่านบอกผู้หญิงคนนี้ “ ธรรมชาติกิเลสมันบ่เคยส่งเสริมผู้ใดไปในทางดี มันมีแต่สิพาเฮาคิดไปในเรื่องบ่ดีไห่ใจเจ้าของเศร้าหมอง อดีตผ่านไปแล้วเอามาคิดใจเจ้าของกะเป็นทุกข์ เหตุปัจจุบันเป็นทุกข์ อนาคตมันกะผลเป็นทุกข์ ไห่ปฏิบัติดีเอาในปัจจุบันที่ตนเองมีอยู่ ปฏิบัติตนในศีลธรรมแล้วใจเจ้าของกะเป็นสุข ”..
ทีแรกผู้หญิงคนนี้เขาไม่เข้าใจในคำพูดภาษาอีสานขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านบอกให้ตนเองแปลคำพูดของหลวงปู่ชอบให้โยมคนนี้ฟัง..

ตนเองแปลคำพูดภาษาอีสานของหลวงปู่ชอบให้โยมคนนี้ฟังจนเขาเข้าใจในเรื่องธรรมที่องค์ท่านแสดงต่อเขา..

พอผู้หญิงคนนี้รู้ความหมายในเมตตาธรรมขององค์ท่านหลวงปู่ชอบแล้วเธอร้องไห้ เธอบอกหลวงปู่ชอบ “ ลูกตามกราบหลวงปู่มาสามปีไม่เคยได้ยินเสียงหลวงปู่พูดซักคำเลย วันนี้หนูได้ยินเสียงหลวงปู่พูดกับหนู หนูตื้นตันใจเป็นที่สุด ทุกข์ในใจของหนูในเรื่องนี้ที่มีมาโดยตลอดมันเหมือนถูกล้างออกไปจากใจโดยคำพูดของหลวงปู ”..
หลวงปู่ชอบท่านบอกผู้หญิงคนนี้ “ เฮาสิบอกไตรสรณะคมน์ศีลห้าไห่นำไปปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติตนในไตรสรณะคมน์ศีลห้านี่ได้แล้ว เฮารับรองไห่เลยว่าสิบ่ตกอบายภูมิ ”..

หลวงปู่ชอบบอกให้ผู้หญิงคนนี้สมาทานศีลห้าโดยรับจากองค์ท่านเป็นพยาน ผู้หญิงคนนี้สมาทานรับพระไตรสรณะคมน์ศีลห้ากับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ตนเองก็ไม่เคยเห็นหลวงปู่ชอบท่านทำแบบนี้กับใครมาก่อน ปรกติเวลาโยมจะขอสมาทานรับศีลไตรสรณะคมน์เวลาประกอบพิธี หลวงปู่ชอบท่านก็จะบอกให้ลูกศิษย์เป็นผู้ให้ไตรสรณะคมน์ศีลแทนองค์ท่าน แต่กับผู้หญิงคนนี้หลวงปู่ชอบท่านเป็นผู้ให้ศีลไตรสรณะคมน์กับเขาด้วยตัวขององค์ท่านเอง..
ตนเองถามหลวงพ่อบุญฤทธิ์ศิษย์ผู้พี่ที่อยู่มานานว่าเคยเจอแบบนี้ไหม..

หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านว่า “ ผมก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ผมก็พึ่งจะเห็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านทำแบบนี้ วันนี้นี่แหละ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านคงมีเหตุผลในใจของท่านกับโยมคนนี้ ”..

หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านว่ามาแบบนี้ตนเองก็พอจะเข้าใจ..
เรานั้นผู้เป็นลูก มองโลกอย่างเป็นสงสาร มองเหตุ และผลด้วยสายตาปัญญาอันฝ้าฟาง..

พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านมองเหตุ และผล ด้วยใจอันใสธรรม..
หลังองค์ท่านให้สรณะไตรคมน์ศีลกับโยมผู้หญิงคนนี้แล้ว หลวงปู่ชอบท่านบอกหลวงพ่อบุญฤทธิ์ให้สอนหลักการภาวนาเบื้องต้นให้กับผู้หญิงคนนี้โดยองค์ท่านจะภาวนาไปด้วย..

ตนเองบอกผู้หญิงคนนี้ให้รู้ว่า ถ้าเมื่อไหร่ได้ยินเสียงหลวงปู่ชอบท่านเอามือตบหมอนพักแขนของท่าน ให้รู้ตัวไว้ว่าตอนนั้นเราเผลอสติไปในคำบริกรรมภาวนา เมื่อได้ยินเสียงหลวงปู่ชอบท่านเอาฝ่ามือตบหมอนแล้วให้รีบตั้งสติกำหนดคำบริกรรมขึ้นมาในใจของตนเองทันทีอย่าได้ช้า เรื่องการรู้วาระจิตวาระใจนี้เราจะไปหลอกท่านไม่ได้ หลวงปู่ชอบท่านรู้จักหมดว่าในใจของเราตอนนั้นคิดฟุ้งซ่านไปในเรื่องอะไร ถ้าท่านได้เอ่ยปากออกมาแล้วเราจะอายใจของตนเองได้

ก่อนจะนั่งภาวนาหลวงปู่ชอบท่านให้ตนเองพาลูกชายโยมผู้หญิงคนนี้ออกห่างจากแม่ ตนเองพาลูกชายโยมผู้หญิงคนนี้มาฝากไว้กับแม่บ้านของคุณจงรักษ์บ้านเรือนไทยให้ดูแล กลับขึ้นไปหลวงปู่ชอบท่านบอกให้กันทางขึ้นบันไดไม่ให้ใครขึ้นมา..

องค์ท่านบอกผู้หญิงคนนี้ให้ภาวนาเอาจิตเอาใจของตนเองอย่าไปสนใจอะไรข้างนอก ทุกอย่างเราจัดการให้หมดแล้ว..
หลวงปู่ชอบท่านบอกให้หลวงพ่อบุญฤทธิ์อบรมธรรมให้กับเขา..
หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านสอนภาวนาให้กับผู้หญิงคนนี้ว่า..

“ เรื่องที่ผ่านมานั้นไม่ต้องไประลึกถึงมัน อดีตมันก็คืออดีต ให้มีสติกำหนดระลึกภาวนาในใจให้เป็นปัจจุบันพอ ไม่ว่าเราจะบริกรมคำภาวนาว่าพุทโธ หรือจะกำหนดดูลมหายใจเข้าออกของตนเองก็ตาม ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งที่ใจของตนเองรักและถนัดในเรื่องนั้นๆ สิ่งที่ใจเรารักใจเราถนัดนั้นคือ เวลาเรากำหนดหรือบริกรรมไปแล้ว ใจของเราจะเกิดความสุขุมเยือกเย็นสงบลงได้อย่างรวดเร็ว นั่นแหละคือความถนัดที่มาจากวาสนาดั้งเดิมของตนเอง ข้อสำคัญในการภาวนานั้น คือการมีสติอยู่กับจิตกับใจของตนเองอยู่ตลอดทุกเวลานาที ให้มีสติจดจ่อลงไปในคำบริกรรมของตนอย่างถี่ๆ พอสติเรามีกำลังเข้มแข็งอย่างเต็มที่แล้ว จิตมันก็จะนิ่งสงบลงไปในธรรมของพระพุทธเจ้า ถึงใจเราไม่อยากจะรู้ แต่จิตมันจะรู้ ”..

หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านสอนธรรมหลักการภาวนาเบื้องต้นให้กับผู้หญิงคนนี้เพียงสั้นๆ ท่านก็บอกผู้หญิงคนนี้ให้ภาวนา หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านก็หลับตาภาวนาไปกับเขา..

ผู้หญิงคนนี้ก็นั่งหลับตาภาวนาอยู่ต่อหน้าองค์ท่านหลวงปู่ชอบกับหลวงพ่อบุญฤทธิ์ที่ชานบ้านเรือนไทยคุณจงรักษ์ พอผู้หญิงคนนี้เขานั่งภาวนาไปไม่นานเท่าไหร่ หลวงปู่ชอบท่านก็เอามือตบที่หมอนรองพักแขนขึ้นเป็นระยะๆ ผู้หญิงคนนี้เขาก็จะแสดงกิริยาสูดถอนลมหายใจออกมาให้เราเห็น..

( กิริยาการสูดถอนหายใจออกมาอย่างแรงขณะที่ผู้นั้นกำลังนั่งภาวนาอยู่ เป็นกิริยาการตั้งต้นกำหนดสติของตนเองขึ้นมาใหม่อันเกิดมาจากใจของตนเองที่ฟุ้งซ่านรำคาญ กิริยาอาการนั่งภาวนาแบบนี้จะดูออกได้ง่ายสำหรับท่านผู้ที่เคยผ่านการฟุ้งซ่านมาอย่างช่ำชอง ).. พอผู้หญิงคนนี้เกิดอาการฟุ้งซ่านขึ้นมาในใจเมื่อไหร่ หลวงปู่ชอบท่านก็จะเอามือตบหมอนพักแขนขึ้นมาเป็นระยะๆเพื่อเตือนสติให้ผู้หญิงคนนี้ทราบ เวลาผ่านไปเกือบร่วมชั่วโมงหลวงปู่ชอบท่านก็ไม่ตบหมอนพักแขนอีก องค์ท่านหลับตาลงไม่แสดงกิริยาจ้องมองตบหมอนพักแขนใส่ผู้หญิงคนนี้อีก..

หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านก็นิ่งในกิริยาหลับ ทุกๆอย่างเวลาที่อยู่ในท่ามกลางมหานครกรุงเทพตอนนั้น ตนเองรู้สึกว่ามันเงียบสงบทั้งๆที่มันเป็นเวลาบ่ายกลางวัน..

เณรหง่าม เณรสิทธิ์มาถามเรื่องจัดน้ำสรงให้องค์ท่านหลวงปู่ชอบตนเองก็สะบัดมือให้พวกเขาหนีไปไม่อยากให้เขามายุ่งอะไรในเวลานี้..

เรื่องจิตสงบนี้เป็นเรื่องยากในใจของคนมากที่สุด คนนับถือพุทธนับหลายร้อยล้าน คนเข้าวัดนับล้าน คนเคยเอ่ยท่องคำภาวนาพุทโธในใจนับแสนนับล้านไม่ได้..

คนที่มีใจอันจิตสงบลงไปในฐีติจิตอัปปณาเอกคะตาหนึ่งเดียวในต้นรากฐานธรรมสมถะอันเป็นพื้นที่จะยกจิตใจของตนเองขึ้นสู่วิปัสสนาภูมินี้ได้ มีกี่คนที่นับถือพระพุทธศาสนาจะทำได้ แม้แต่พระเณรผู้บวชเข้ามาในพระศาสนาก็หายากได้ในพระศาสนาที่ใจเคยสงบ ไม่ต้องไปถามหาพระอริยะบุคคลชั้นนั้น ชั้นนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เอาแค่บริกรรมใจให้จิตของตนเองสงบลงได้นี้ ก็เป็นสิ่งนี้หาได้ยากแล้วในแก้วดวงใจ..

เป็นสิ่งที่แปลกมาก ในเวลาร่วมจะสามชั่วโมง ลูกชายของผู้หญิงคนนี้เขาก็ไม่ขึ้นมารบกวนแม่ ไม่มีใครคนข้างนอกมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบแม้แต่คนเดียว เหตุการณ์ทุกอย่างทั้งภายในภายนอกถูกองค์ท่านหลวงปู่ชอบคุมกำกับไว้ภายในบารมีขององค์ท่านทั้งหมด..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบลืมตาขึ้นมาในเวลาไล่เลียงกันกับหลวงพ่อบุญฤทธิ์ ทั้งสองท่านยิ้มให้กันอย่างที่เราไม่เคยเห็น หลวงพ่อบุญฤทธิ์ท่านกอดนวดขาองค์ท่านหลวงปู่ชอบยิ้มไปให้กัน..
ตนเองเข้ามาจะถามถึงเรื่องราวในตอนนี้..

หลวงปู่ชอบท่านห้ามบอก “ อยู่ซื่อๆโบ้ย ( อยู่เฉยๆไอ้หนู ) ”..
พอผู้หญิงคนนี้ลืมตาขึ้นมาเขามองหลวงปู่ชอบกับหลวงพ่อบุญฤทธิ์ กิริยาเขานั่งนิ่งน้ำตาไหลซึ่งต่างจากกิริยาก่อนที่เขาบอกหลวงปู่ชอบกับหลวงพ่อบุญฤทธิ์ในเรื่อง แท้งทุกข์ แท้งธรรม.. องค์ท่านหลวงปู่ชอบยิ้ม บอกกับผู้หญิงคนนี้ว่า..

“ ธรรมแท้มันเป็นจั่งซี้หล่ะ ฮาก ( ราก) มันมีแล้วกะไห่รักษาต้นของมันไปหาดอกหาผล ” องค์ท่านว่ามาแค่นี้เราก็เข้าใจ..
หลังไหว้สวดมนต์ปลอดผู้ปลอดคนเขากลับกันไปหมดแล้ว ตนเองอยู่กับหลวงปู่ชอบและหมู่คณะได้ยกเรื่องนี้มาถามองค์ท่าน แต่ก่อนแต่ไรครูบาอาจารย์ก็เจอผู้หญิงคนนี้เขามากราบครูบาอาจารย์ตั้งหลายครั้ง ทำไมครูบาอาจารย์ถึงไม่บอกแก้ทุกข์ทางใจของเขาให้แล้วไปตั้งนานกว่านี้..

หลวงปู่ชอบท่านบอก..โบ้ย..เรื่องบางอย่างนั้นมันต้องรอเวลา ให้วาสนาเรา วาสนาเขาบรรจบกันก่อนจึงจะสงเคราะห์กันได้..ท่านว่า เปรียบคือเรานึ่งข้าวหุงข้าวยังไม่ทันสุกดีก็เอาให้เขากิน เมื่อเขากินข้าวกึ่งสุกกึ่งดิบหม้อนั้นหวดนั้นแล้ว ข้าวหม้อนั้นหวดนั้นมันก็จะกลายเป็นข้าวเสียประโยชน์..

พระพุทธเจ้า พระอริยะสงฆ์สาวกทั้งหลายท่านจะพิจารณาจนเห็นว่าข้าวสุกปลาตายแล้วท่านจึงจะป้อนข้าวใส่คำ ป้อนธรรมใส่ใจ..ธรรมก็เป็นเช่นเดียวกัน..เมื่อทุกอย่างของข้าวนั้นมันสุกแล้ว ผู้ที่ได้กินข้าวคำนั้น เขาก็เป็นสุข..



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น